คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่า หากจำเลยจะต้องรับผิดบ้างก็ขอหักกลบลบหนี้กับค่าเช่าซึ่งโจทก์ยังเป็นหนี้จำเลยอยู่ แม้โจทก์จะมิได้แถลงโต้แย้งเกี่ยวกับข้อที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้ แต่ในชั้นพิจารณาโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า การชำระค่าเช่าโจทก์ชำระล่วงหน้า 6 เดือน ต่อจากนั้นโจทก์ก็ชำระบ้างไม่ชำระบ้าง ส่วนใบรับเงินโจทก์ได้รับบ้างไม่ได้รับบ้าง แสดงว่าโจทก์ยังมีข้อต่อสู้ในเรื่องหนี้ค่าเช่าที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้นั้นอยู่ จำเลยจึงจะนำหนี้ค่าเช่ามาขอหักกลบลบหนี้กับค่าเสียหายที่ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์ในคดีนี้หาได้ไม่ ศาลไม่จำต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์เป็นหนี้ค่าเช่าจำเลยอยู่จริงดังจำเลยกล่าวอ้างหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ยอมขายที่ดินให้ผู้มีชื่อซึ่งโจทก์พามาซื้อตามที่ตกลงกันไว้ โดยจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหลานและรู้เห็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่ก่อนแล้ว เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและทำกลฉ้อฉลขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 107,708.33 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ไม่ได้ผิดสัญญาและไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างไรก็ดีหากจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดบ้าง โจทก์ก็เป็นลูกหนี้ค่าเช่าบ้านและเครื่องเรือนของจำเลยที่ 1 อยู่ 615,000 บาท จำเลยที่ 1 ขอหักหนี้ให้หมดไป

จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินโดยสุจริต

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย100,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทก่อนโจทก์โดยสุจริต ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ข้อที่จำเลยที่ 1 ขอหักกลบลบหนี้ฟังว่า โจทก์ค้างชำระค่าเช่าไม่ต่ำกว่า 5 – 6 แสนบาท จำเลยที่ 1 ขอหักกลบลบหนี้ได้ ทำให้หนี้ที่โจทก์จะบังคับหมดสิ้นไป จึงพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้เงินค่าเช่าที่จำเลยที่ 1 ขอหักกลบลบหนี้นั้นเป็นหนี้ที่ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ไม่แน่นอนจำเลยที่ 1 จึงขอหักกลบลบหนี้ไม่ได้ พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินแก่โจทก์ 100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันผิดสัญญา

จำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อเดียวว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิหักกลบลบหนี้เงินค่าเช่ากับหนี้ค่าเสียหายที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์ในคดีนี้ได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยยื่นคำให้การแก้คดีโจทก์ โดยขอมาในคำให้การด้วยว่า หากจำเลยจะต้องรับผิดตามฟ้องบ้าง โจทก์ก็เป็นลูกหนี้ค่าเช่าบ้านและเครื่องเรือนจำเลยอยู่เป็นเงิน 615,000 บาท จำเลยจึงขอหักกลบลบหนี้ให้หมดไป ส่วนที่เหลือจำเลยจะได้บังคับโจทก์ต่อไปนั้น แม้โจทก์จะมิได้โต้แย้งเกี่ยวกับข้อที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้นี้แต่ประการใดแต่ในชั้นโจทก์เบิกความเป็นพยาน ก็ได้เบิกความตอนหนึ่งว่า การชำระค่าเช่าโจทก์ชำระล่วงหน้า 6 เดือน ต่อจากนั้นโจทก์ก็ชำระบ้างไม่ชำระบ้าง ส่วนใบรับเงินนั้นโจทก์ได้รับบ้างไม่ได้รับบ้าง จึงแสดงอยู่ว่าโจทก์ยังมีข้อต่อสู้ในเรื่องหนี้ค่าเช่าที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้นั้นอยู่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 บัญญัติไว้ว่า “สิทธิเรียกร้องใดยังมีข้อต่อสู้อยู่ สิทธิเรียกร้องนั้นท่านว่าหาอาจจะเอามาหักกลบลบหนี้ได้ไม่ ฯลฯ” ฉะนั้น เมื่อปรากฏว่าสิทธิเรียกร้องค่าเช่าที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้ยังมีข้อต่อสู้อยู่ดังวินิจฉัยแล้วจำเลยก็ขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ไม่ได้ ไม่มีข้อที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์เป็นหนี้ค่าเช่าจำเลยอยู่จริงดังจำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ คำพิพากษาฎีกาที่ 806/2505 ที่จำเลยอ้างนั้น ไม่ตรงกับคดีนี้ เพราะคดีนั้นเป็นการหักกลบลบหนี้ตามข้อสัญญาที่มีระหว่างโจทก์จำเลย

พิพากษายืน

Share