แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องรับซื้อและรับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ของจำเลยทั้งสองจากโจทก์ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ ตาม พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ๆ มาตรา 7 ให้สิทธิแก่ผู้ร้องที่จะขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ได้ การที่ผู้ร้องมิได้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา หาทำให้ผู้ร้องเสียสิทธิที่จะร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวไม่ และการที่โจทก์ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีของศาลล้มละลายกลางในภายหลัง หาทำให้สิทธิของผู้ร้องที่เกิดขึ้นและมีอยู่ตามกฎหมายก่อนที่โจทก์จะถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดถูกกระทบการะเทือนไปด้วยไม่ ทั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็แถลงไม่คัดค้านคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องจึงยังคงมีสิทธิที่ขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 18,405,402.74 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปี จากต้นเงิน 9,300,000 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 12 ธันวาคม 2543) เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสองจะร่วมกันชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11647 และเลขที่ 42665 ตำบลหัวกระบือ (คลองซอยที่ 23 ฝั่งเหนือ) อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ออกจากทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากยังไม่ครบให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองจนครบ กับให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2543 ผู้ร้องได้รับซื้อและรับโอนสินทรัพย์หลักด้อยคุณภาพรวมถึงสิทธิเรียกร้องในหนี้ของจำเลยทั้งสองจากโจทก์ผู้ร้องมีสิทธิเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี มีสิทธิดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เพื่อบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ทนายผู้ร้องและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงรับกันว่า เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2546 ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดตามคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 244/2546 ผู้ร้องแม้จะเป็นคู่สัญญาที่ได้รับซื้อและรับโอนสินทรัพย์ดังที่กล่าวมาในคำร้องก็ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปดำเนินการบังคับคดีตามที่อ้าง หากการดำเนินการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้อง ผู้ร้องชอบที่จะไปดำเนินการตาม มาตรา 146 ตามพระราชบัญญัติล้มละลายให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องได้รับซื้อและรับโอนสินทรัพย์หลักด้อยคุณภาพรวมถึงหลักประกันของสินทรัพย์นั้น และสิทธิเรียกร้องในหนี้ของจำเลยทั้งสองจากโจทก์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2543 ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 มาตรา 7 ให้สิทธิแก่ผู้ร้องที่จะขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ได้ การที่ผู้ร้องมิได้ขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา หาได้ทำให้ผู้ร้องเสียสิทธิที่จะร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวไม่ การที่โจทก์ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ 244/2546 ของศาลล้มละลายกลางในภายหลังหาได้ทำให้สิทธิของผู้ร้องที่เกิดขึ้นและมีอยู่ตามกฎหมายก่อนที่โจทก์จะถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดถูกกระทบกระเทือนไปด้วยไม่ ผู้ร้องยังคงมีสิทธิที่จะร้องขอเข้าสวมสิทธิเข้าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ได้ ทั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็แถลงไม่คัดค้านคำร้องของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นชอบที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ได้ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ