แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่าไม่เคยกู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความให้ไว้กับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย เมื่อทางนำสืบของจำเลยต่าง กับคำให้การจึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ แต่ ทางนำสืบของจำเลยดังกล่าวเจือสมกับคำพยานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และเป็นหนี้กำหนดจำนวนได้ แน่นอนและถึง กำหนดชำระแล้ว จำเลยมีเงินเดือนเดือน ละ 5,000 บาท ไม่มีทรัพย์อื่นใด อีก ดังนี้ จำเลยเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่มีเหตุอื่นที่แสดงว่าไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย ศาลย่อมมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ต่อมาถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินทุนและให้เลิกบริษัท มีนายเติมศักดิ์ กฤษณามระ เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยกู้เงินโจทก์ไปต่อมาทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความ รับว่าเป็นหนี้โจทก์ 6,175,070 บาท ขอผ่อนชำระ 58 งวด จำเลยชำระเงินให้โจทก์เพียง 2 งวด ก็ผิดนัดโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยก็เพิกเฉยขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความให้ไว้กับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นขึ้นมาสู่ศาลฎีกาว่าจำเลยกู้ยืมเงินและทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่าจำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยกู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความให้ไว้กับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยแต่ทางนำสืบจำเลยนำสืบรับว่าได้ลงชื่อในสัญญากู้กับสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความจริง แต่ทำไปเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาถูกนายวรทรรศน์หลอกลวง ทางนำสืบของจำเลยต่างกับคำให้การจึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ อย่างไรก็ตามทางนำสืบดังกล่าวของจำเลยเจือสมกับพยานโจทก์ว่าจำเลยเป็นผู้ทำสัญญากู้กับทำสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.5 จริง ที่จำเลยนำสืบว่าลงชื่อในสัญญากู้ สัญญารับสภาพหนี้ และสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะโง่เขลาเบาปัญญาถูกนายวรทรรศน์หลอกลวงนั้นฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.5 ดังกล่าว และฟังได้ต่อไปว่าจำเลยได้ผ่อนชำระ2 งวดแล้วไม่ชำระอีกจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 6,175,070 บาท
จำเลยฎีกาต่อไปว่าจำเลยนำสืบเพื่อให้ได้ความจริงตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 เป็นการสนับสนุนคำให้การของจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์เห็นว่าการจะฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์หรือไม่เป็นเรื่องโจทก์จำเลยต่างมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ตามคำฟ้องและคำให้การ เมื่อข้อต่อสู้ของจำเลยรับฟังไม่ได้และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้อยู่จริงจึงมีข้อพิจารณาต่อไปว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 14 และมาตรา 9 หรือไม่ ซึ่งคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท เป็นหนี้กำหนดจำนวนได้แน่นอนและถึงกำหนดชำระแล้วกับได้ความต่อไปว่าจำเลยมีเพียงเงินเดือน เดือนละ 5,000 บาท ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีก จึงมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้สิน ฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่มีเหตุอื่นที่แสดงว่าไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย ศาลย่อมมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดได้”
พิพากษายืน.