แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ลูกหนี้ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวนำเงินเข้าบัญชีเดินสะพัดในธนาคารผู้ร้องคัดค้านภายในระยะเวลา 3 เดือนก่อนลูกหนี้ถูกฟ้องล้มละลายโดยลูกหนี้รู้ดีว่าธนาคารผู้ร้องคัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องหักยอดเงินออกจากจำนวนหนี้ทั้งหมดและลูกหนี้ไม่อาจถอนเงินได้อีกนั้น. ถือได้ว่าลูกหนี้มุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นแล้ว.เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการกระทำของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 115ได้.
ย่อยาว
ผู้ร้องร้องว่า คดีนี้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโกมลตียาภรณ์สหช่างและนายโกมล ตียาภรณ์ลูกหนี้คดีถึงที่สุดแล้ว ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการโอนเงินจากบัญชีห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโกมลตียาภรณ์สหช่างลูกหนี้ ซึ่งชำระหนี้ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด เสีย ให้ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การจำกัดคืนเงินจำนวน 395,000 บาท กับดอกเบี้ยให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อรวบรวมเข้ากองทรัพย์สินลูกหนี้ ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การจำกัดผู้ร้องคัดค้านให้การว่า การที่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโกมลตียาภรณ์สหช่างนำเงินมาเข้าบัญชีนั้นหาใช่เป็นการนำเงินมาเข้าบัญชีนั้นหาใช่เป็นการนำเงินมาเข้าบัญชีให้หักชำระหนี้ไม่ หากแต่เป็นเพียงเงินเข้าบัญชีเดินสะพัดตามปกติ ขอให้ศาลยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนเงินจากบัญชีห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโกมลตียาภรณ์สหช่างลูกหนี้ ซึ่งชำระหนี้ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การจำกัดผู้ร้องคัดค้านเสียให้ธนาคารผู้ร้องคัดค้านชำระเงิน 395,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันยื่นคำร้องเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนเงินดังกล่าวให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องคัดค้านอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องคัดค้านฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโกมลตียาภรณ์สหช่างลูกหนี้จะได้มีบัญชีเดินสะพัดอยู่กับธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การจำกัด ผู้ร้องคัดค้านก็ตาม แต่ต่อมาห้างนี้ก็ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารผู้ร้องคัดค้านไว้ ซึ่งลูกหนี้ก็ได้เป็นหนี้ธนาคารผู้ร้องคัดค้านอยู่ถึง 1,033,976.73 บาท ทั้งยังเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้อื่นอีก 1,721,091.38 บาท ซึ่งลูกหนี้ได้สัญญาว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์และเจ้าหนี้อื่นให้เสร็จสิ้น แต่ลูกหนี้ก็หาได้กระทำตามสัญญาไม่ การที่ลูกหนี้นำเงินเข้าบัญชีเดินสะพัดแก่ธนาคารผู้ร้องคัดค้าน โดยลูกหนี้ย่อมรู้ดีว่าเงินจำนวนดังกล่าวธนาคารผู้ร้องคัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมจะต้องหักยอดเงินออกจากจำนวนหนี้ทั้งหมด และลูกหนี้ก็ไม่อาจที่จะถอนเงินออกมาใช้จ่ายได้อีก กรณีของจำเลยดังกล่าวจึงหาใช่เป็นการกระทำตามปกติดังที่ผู้ร้องคัดค้านยกขึ้นกล่าวไม่ ดังนั้นการนำเงิน 395,000 บาทเข้าบัญชีของลูกหนี้ซึ่งได้กระทำในระยะเวลา 3 เดือนก่อนลูกหนี้ถูกฟ้องล้มละลาย เห็นได้ชัดว่ามุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะธนาคารผู้ร้องคัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการกระทำของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ได้ พิพากษายืน ให้ยกฎีกาผู้ร้องคัดค้าน.