คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1810/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 2 ร่วมกับ ป. จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการซื้อ ขายและแบ่งแยกขายที่ดิน แต่ห้างหุ้นส่วนมิได้ดำเนินการทำเองทั้งหมดได้ ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีชื่อ ในโฉนด ที่ดินและขายให้ลูกค้าเมื่อโจทก์ที่ 2 มีชื่อ ในโฉนด ถือ กรรมสิทธิ์อยู่ย่อมก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน ทั้งตาม หลักฐานการซื้อ ขายมีชื่อ โจทก์ที่ 2 เป็นผู้รับเงินย่อมต้อง ถือ ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้รับเงินได้พึงประเมินนั้นไว้ ดังนี้มาตรา 61 แห่ง ป.รัษฎากร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจเรียกเก็บภาษีทั้งหมดจากผู้มีชื่อ ในหนังสือสำคัญนั้นก็ได้แต่ ถ้า มีการโอนเงินได้พึงประเมินให้แก่บุคคลอื่นบุคคลนั้นมีสิทธิหักเงินภาษีจากจำนวนเงินซึ่ง โอนให้แก่บุคคลอื่นตาม ส่วน การประกอบธุรกิจซื้อ ขายและแบ่งแยกขายที่ดิน เป็นการหาผลประโยชน์อันมีมูลค่าจากที่ดินที่จัดสรรและปลูกบ้านขายเป็นจำนวนมาก ดังนี้เป็นการประกอบการค้าอันต้อง เสียภาษีการค้า.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน โจทก์ที่ 2 ร่วมกับนางสาวเปรมวดีศรีประทีป จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดเพ็ญรุ่ง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมน สังสิทธิ โดยโจทก์ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ประกอบกิจการซื้อขายและแบ่งแยกขายที่ดินเมื่อวันที่ 30ตุลาคม 2522 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ได้แจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีการค้าในระหว่างปีภาษีพ.ศ. 2516-2518 เป็นเงิน 1,925,809.07 บาท จากเงินได้รายได้พึงประเมินของโจทก์ที่ 2 ซึ่งได้ขายที่ดินในโฉนดมีชื่อโจทก์ที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์อยู่ โจทก์ได้อุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ปลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี พ.ศ. 2516 ทั้งหมดให้ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี พ.ศ. 2517 กับเงินเพิ่มคงเรียกเก็บเพียง 9,751.82 บาท และให้ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี พ.ศ. 2518 กับเงินเพิ่ม คงเรียกเก็บเพียง 167,242.64 บาทส่วนภาษีการค้าให้ยกอุทธรณ์ รวมภาษีที่โจทก์ทั้งสองต้องชำระ335,131.28 บาท
ข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองมีว่าเงินได้พึงประเมินที่จำเลยเรียกเก็บภาษีอากรจากโจทก์ เป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์หรือไม่…พิเคราะห์แล้วเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินที่ได้รับจากการขายที่ดินซึ่งมีชื่อโจทก์ที่ 2 อยู่ในโฉนด แต่โจทก์ที่ 2 อ้างว่าเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมน สังสิทธิโดยโจทก์ที่ 2 ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์และทำการซื้อขายที่ดินแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมน สังสิทธินั้น เห็นว่าโจทก์ที่ 2 กับนางสาวเปรมวดี ศรีประทีป ซึ่งเป็นพี่น้องได้ร่วมกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดเพ็ญรุ่ง และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมน สังสิทธิ โดยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการซื้อขายและแบ่งแยกขายที่ดิน แต่ทางห้างหุ้นส่วนมิได้ดำเนินการทำเองทั้งหมด ได้มีการทำหนังสือมอบให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินและทำการขายให้ลูกค้า เมื่อมีการขายที่ดินที่โจทก์ที่ 2 มีชื่อในโฉนดถือกรรมสิทธิ์อยู่ย่อมก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน ทั้งตามหลักฐานการซื้อขายมีชื่อโจทก์ที่ 2 เป็นผู้รับเงินย่อมต้องถือว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้รับเงินได้พึงประเมินนั้นไว้ ซึ่งตามมาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากรเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจเรียกเก็บภาษีทั้งหมดจากผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญนั้นก็ได้ แต่ถ้ามีการโอนเงินได้พึงประเมินให้แก่บุคคลอื่น บุคคลนั้นมีสิทธิหักเงินภาษีจากจำนวนเงินซึ่งโอนให้แก่บุคคลอื่นตามส่วน เห็นได้ว่าเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีทั้งหมดจากโจทก์ที่ 2 ที่มีชื่อในโฉนดที่ดินซึ่งเป็นหนังสือสำคัญในการถือกรรมสิทธิ์ที่ขายให้แก่ลูกค้า โจทก์ที่ 2อ้างว่าเงินได้ทั้งหมดเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมน สังสิทธิ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้เรียกเก็บภาษีอากรจากโจทก์เฉพาะแต่ยอดเงินได้ที่มิได้มีใครเสียภาษีอากรไว้เลย ส่วนยอดเงินได้ที่โจทก์ที่ 2 โอนให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมน สังสิทธิ และได้เสียภาษีแล้วจำเลยที่ 1 ก็ลดภาษีให้โจทก์ กิจการที่โจทก์ที่ 2 กับนางสาวเปรมวดีผู้เป็นหุ้นส่วนมอบหมายกันตามเอกสารหมาย จ.3 โดยมีตัวโจทก์ที่ 2 และนางสาวเปรมวดีเบิกความสนับสนุนก็เป็นเรื่องกิจการภายในของโจทก์ที่ 2 และห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมน สังสิทธิ ดำเนินการเองทั้งหมด ไม่เป็นหลักฐานเพียงพอจะรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 2ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์และทำการซื้อขายที่ดินแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมนสังสิทธิ และมิได้ค้างเงินได้พึงประเมินเลย เมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าเงินได้พึงประเมินจากการขายที่ดินที่มีชื่อโจทก์ที่ 2 ในโฉนด โจทก์ที่ 2 ได้โอนไปให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสุมนสังสิทธิ ทั้งหมด โจทก์ก็ต้องรับผิดชำระเงินภาษีอากรในจำนวนเงินได้พึงประเมินที่ยังชำระขาดอยู่ อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนภาษีการค้า เมื่อโจทก์ที่ 2 ได้ประกอบธุรกิจซื้อขายและแบ่งแยกขายที่ดินเป็นการหาผลประโยชน์อันมีมูลค่าจากที่ดินที่จัดสรรและปลูกบ้านขายเป็นจำนวนมากย่อมเป็นการประกอบการค้าอันต้องเสียภาษีการค้า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share