คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การจ่ายเงินสงเคราะห์จากกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทยนั้น ข้อบังคับคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยฯ ให้นำพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการและระเบียบการที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายบำนาญทั้งสิ้นมาใช้ โดยอนุโลมแต่พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2523 เป็นกฎหมายที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตามงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2518 จึงไม่อาจนำพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาอนุโลมใช้ตามข้อบังคับคณะกรรมการรถไฟได้ และการที่เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ พ.ศ.2521 ออกใช้บังคับ โจทก์ก็ได้รับเงินค่าครองชีพตามพระราชกฤษฎีกานี้นั้น ก็เพราะคณะกรรมการจัดการกองทุนสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทยเห็นสมควรที่จะช่วยเหลืออดีตผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟให้ได้รับเงินช่วยค่าครองชีพเช่นเดียวกับข้าราชการบำนาญ จึงได้ให้นำพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาถือปฏิบัติด้วยโดยอนุโลม แต่มิได้หมายเลยไปว่าเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2523 ออกใช้ โจทก์จะได้รับเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพเสมอไปก็หาไม่ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯ ผู้มีอำนาจตามข้อบังคับจะพิจารณาเห็นควรนำพระราชกฤษฎีกาฉบับข้างต้นมาอนุโลมใช้หรือไม่เพียงใด

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างประจำของจำเลย โจทก์ลาออกจากงานเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ และเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๒๑ จำเลยจ่ายเงินสงเคราะห์รายเดือนให้แก่โจทก์ทั้งสอง ต่อมาวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๒ จำเลยได้เพิ่มค่าครองชีพตามมติคณะรัฐมนตรีให้แก่โจทก์ทั้งสองอีกเดือนละ ๒๐๐ บาท ครั้นเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ๒) กำหนดให้เพิ่มค่าครองชีพอีก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ของเงินสงเคราะห์รายเดือนโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไป จำเลยไม่ยอมจ่ายเงินช่วยค่าครองชีพเพิ่มใหม่ให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินช่วยค่าครองชีพเพิ่มแก่โจทก์ ทั้งนี้นับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไป
จำเลยให้การทั้งสองสำนวนว่า พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๓ มิได้ใช้บังคับแก่พนักงานรัฐวิสาหกิจ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มตามพระราชกฤษฎีกา กับตัดฟ้องว่าคดีของโจทก์ทั้งสองไม่อยู่ในอำนาจของศาลแรงงานกลางที่จะรับพิจารณา
ศาลแรงงานกลางได้ให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางทำการวินิจฉัยตามอำนาจในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา ๙ ซึ่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ศาลแรงงานกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ทั้งสองได้ตามมาตรา ๘ (๑)
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า เงินรายเดือนที่โจทก์ทั้งสองได้รับมิใช่เบี้ยหวัดบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยเบี้ยหวัดบำนาญข้าราชการ แต่เป็นเงินสงเคราะห์จ่ายจากกองทุนสำหรับจ่ายผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ออกข้อบังคับไว้โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทยฯ การจ่ายเงินสงเคราะห์นี้ ข้อบังคับคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย ว่าด้วยกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทยให้นำพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการและระเบียบการที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายบำนาญทั้งสิ้นมาใช้โดยอนุโลม แต่พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๓ เป็นกฎหมายที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจ่ายเงินบางประเภทตามงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.๒๕๑๘ มิใช่พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ ทั้งมิใช่ระเบียบการที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายบำนาญด้วยจึงไม่อาจนำพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาอนุโลมใช้ตามข้อบังคับคณะกรรมการรถไฟฯ ข้างต้นได้
การที่โจทก์ทั้งสองได้รับเงินช่วยค่าครองชีพเพิ่มอีกเดือนละ ๒๐๐ บาท ตามประกาศเรื่อง การพิจารณาจ่ายเงินช่วยค่าครองชีพ (ช.ค.บ.) แก่ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือนฯ นั้นก็เพราะคณะกรรมการฯ ซึ่งมีหน้าที่จัดการกองทุนและมีอำนาจออกระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามข้อบังคับเห็นสมควรที่จะช่วยเหลืออดีตผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟให้ได้รับเงินช่วยค่าครองชีพเช่นเดียวกับข้าราชการบำนาญได้รับตามพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ พ.ศ.๒๕๒๑ จึงได้ให้นำพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาถือปฏิบัติด้วยโดยอนุโลม แต่มิได้หมายเลยไปว่า เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๓ ออกใช้ โจทก์จะได้รับเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพตามความในพระราชกฤษฎีกานี้ก็หาไม่ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯ ผู้มีอำนาจตามข้อบังคับจะพิจารณาเห็นควรนำพระราชกฤษฎีกาฉบับข้างต้นมาอนุโลมใช้หรือไม่เพียงใด ฉะนั้น เมื่อคณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นควรนำพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๓ มาอนุโลมใช้แก่อดีตผู้ปฏิบัติงานรถไฟที่ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือนในหรือก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ ตามประกาศเรื่องการปรับปรุงเงินช่วยเหลือค่าครองชีพอดีตผู้ปฏิบัติงานรถไฟฯ จึงไม่เป็นการขัดต่อข้อบังคับหรือกฎหมาย โจทก์ทั้งสองได้ลาออกภายหลังวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ จึงไม่ใช่อดีตผู้ปฏิบัติงานรถไฟผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเพิ่มค่าครอบชีพตามพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๓
พิพากษายืน

Share