คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมตำรวจ ตำแหน่ง เสมียนยานพาหนะมีหน้าที่รับเงินจากผู้ยื่นคำร้องหรือเงินเสียภาษี จำเลยจะรับไว้จากสถานที่ใด (แม้ที่บ้านของจำเลยเองก็เป็นเงินผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องนำส่ง กรมตำรวจจึงเป็นผู้เสียหาย หาใช่เป็นการมอบฝากกันเป็นส่วนตัวไม่ เพราะถ้าจำเลยไม่ใช่เจ้าหน้าที่โดยเฉพาะบุคคลผู้เกี่ยวข้องก็จะไม่มอบส่งเงินให้

ย่อยาว

เรื่อง ปลอมหนังสือสำคัญในราชการ จดหลักฐานเท็จ ทุจริตต่อหน้าที่ และยักยอกทรัพย์
คดี ๓ สำนวนนี้โจทก์ ฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเสมียนยานพาหนะประจำกองตำรวจจังหวัดอุตรดิตถ์ มีหน้าที่รับคำร้องจดทะเบียนรถยนต์ล้อเลื่อนให้แก่ราษฎร รับเงินค่าธรรมเนียม ค่าเขียนแบบพิมพ์ และค่าภาษีรถซึ่งราษฎรนำมาชำระแก่กรมตำรวจ อันเป็นเงินผลประโยชน์ของรัฐบาลตามกฎหมาย เมื่อรับเงินดังกล่าวแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องเก็บรักษาไว้แล้วจัดการนำส่งต่อสมุห์บัญชีตำรวจทุก ๆ วันที่มีการรับเงิน และยังมีหน้าที่เขียนและกรอกข้อความลงในใบอนุญาตรถยนต์ และเขียนใบเสร็จรับเงินพร้อมกับรายการและจำนวนเงินในสมุดทะเบียนรถยนต์ของทางราชการแล้วนำเสนอให้นายทะเบียนยานพาหนะหรือผู้แทนลงชื่อ เสร็จแล้วมอบใบอนุญาตรถยนต์พร้อมกับใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ชำระเงินไป
ระหว่าง ๒๘ มีนาคม ๒๔๙๓ ถึง ๒ กันยายน ๒๔๙๗ เวลาไม่ปรากฎ จำเลยได้ทำปลอมขึ้นทั้งฉบับและเติมข้อความปลอมลงในใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าภาษีรถยนต์ซึ่งเป็นหนังสือสำคัญในราชการอันอยู่ในหน้าที่ของจำเลย โดยจำเลยปลอมชื่อนายทะเบียนยานพาหนะหรือผู้ทำหน้าที่แทนเพื่อแสดงว่าบุคคลดังกล่าวได้รับเงินที่ราษฎรหลายคนได้นำมาชำระซึ่งความจริงบุคคลดังกล่าวมิได้รับเงินหรือเซ็นชื่อในหนังสืออันเป็นความเท็จ และจำเลยได้จดลงซึ่งความเท็จนั้น ลงในหนังสือว่าเป็นความจริง โดยรู้อยู่แล้วว่าเท็จ การกระทำของจำเลยอาจเกิดความเสียหายแก่สาธารณชนและกรมตำรวจได้ และจำเลยบังอาจทุจริตยักยอกทรัพย์ของกรมตำรวจคือเงินซึ่งราษฎรได้นำมาชำระเป็นค่าธรรมเนียม ค่าภาษีรถยนต์ พร้อมทั้งค่าเขียนเนื่องจากการกระทำผิดดังกล่าวข้างต้น โดยจำเลยรับเงินไว้แล้วไม่นำส่งต่อสมุห์บัญชีเป็นเงินผลประโยชน์ของกรมตำรวจ แต่กลับยักยอกเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย โดยมิได้มีอำนาจจะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ และตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม กรมตำรวจหาใช่ผู้เสียหายไม่
ศาลล่างทั้งสองฟังต้องกันว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้องทุกสำนวน ต้องตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๒๒,๒๒๕,๒๓๐,๓๑๙ (๓) ให้ลงโทษตาม ม.๒๓๐ อันเป็นบทหนัก พิพากษาให้จำคุกจำเลยสำนวนละ ๕ ปี จำเลยแถลงรับไว้เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลด ๑ ใน ๓ ตาม ม.๕๙ คงจำคุกจำเลยสำนวนละ ๓ ปี ๔ เดือน ให้นับโทษติดต่อกันเรียงตามลำดับสำนวน และให้จำเลยคืนหรือใช้ทรัพย์แก่กรมตำรวจตามที่โจทก์ขอทุกสำนวน
จำเลยฎีกา คดีนี้ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น
ฎีกาเฉพาะที่ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย คือที่จำเลยฎีกาคัดค้านว่า จำเลยรับฝากเงินจากบุคคลภายนอกซึ่งนำเงินมาฝากและขอให้จำเลยจัดการให้ที่บ้านของจำเลยนั้น ควรฟังว่าเป็นการช่วยเหลือกันเป็นส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องราชการ เงินที่จำเลยรับไว้นั้นมิใช่เป็นของกรมตำรวจ จำเลยจึงได้ยักยอก ถ้าหากจะเป็นความผิดทางอาญาก็เป็นความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมตำรวจ มีหน้าที่รับเงินจากผู้อื่นคำร้องหรือเงินเสียค่าภาษี จำเลยจะรับไว้จากสถานที่ใด ก็เป็นเงินผลประโยชน์ของรัฐซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องนำส่ง กรมตำรวจจึงเป็นผู้เสียหาย หาใช่เป็นการมอบฝากกันเป็นการส่วนตัวไม่ เพราะถ้าจำเลยไม่ใช่เจ้าหน้าที่โดยเฉพาะบุคคลผู้เกี่ยวข้องก็จะไม่มอบส่งเงินให้ฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้โดยแจ้งชัด จำเลยไม่เสียเปรียบในการต่อสู้คดี ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมและขัดกัน
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ แต่ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๖๑ ยกฎีกาจำเลย

Share