แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาเป็นข้อเท็จจริงเดียวกันกับที่จำเลยได้กล่าวอ้างไว้ในอุทธรณ์ซึ่งไม่ผ่านการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ภาค 1 เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นอ้างในฎีกาจึงไม่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ฎีกาของจำเลยจะมีผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 49,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 3 ชำระแทน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องจริง ขอให้บังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก่อน
จำเลยที่ 3 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้ยกอุทธรณ์จำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 9,000 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ว่า โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความเพียงปากเดียวและเบิกความขัดกับเอกสาร พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กู้ยืมเงินจากโจทก์ 40,000 บาท และจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบได้แจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กู้ยืมเงินโจทก์เพียง 5,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการอุทธรณ์ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอันเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีพยานบุคคล 3 ปาก เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กู้ยืมเงินโจทก์เพียง 5,000 บาท หนังสือสัญญากู้เงินตามกฎหมายใหม่เอกสารหมาย จ. 1 เป็นเอกสารปลอมที่โจทก์ทำขึ้น พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังนี้เห็นว่า แม้ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกขึ้นอ้างในฎีกาเป็นข้อเท็จจริงเดียวกันกับที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กล่าวอ้างไว้ในอุทธรณ์ซึ่งไม่ผ่านการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัย ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกขึ้นอ้างในฎีกาจึงไม่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาทั้งหมด ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.