คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1805/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา140วรรคสามโดยไม่ปรับบทตามมาตรา138วรรคสองและมาตรา140วรรคแรกด้วยนั้นไม่ถูกต้องเพราะมาตรา140วรรคสามมิได้บัญญัติความผิดไว้ชัดแจ้งในตัวและการไม่ปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา140วรรคแรกหรือวรรคสองย่อมไม่ทราบว่าจำเลยต้องระวางโทษหนักกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้กึ่งหนึ่งของมาตรา140วรรคหนึ่งหรือวรรคสองและปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองและต่อสู้ขัดขวางและร่วมกันพยายามฆ่าสิบตำรวจเอกอัลดุลฮามิดกับพวก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 138, 140, 288, 189,371 และขอให้ริบของกลาง
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคสาม, 289(2), 371 ประกอบมาตรา มาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตามมาตรา 80, 83, 289(2) ประกอบมาตรา 52 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือนฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสี่และหนึ่งในสามตามลำดับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53, 78 คงจำคุก 37 ปี 6 เดือน4 เดือน และ 4 เดือน ตามลำดับ รวมจำคุก 37 ปี 14 เดือนริบของกลาง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ลงโทษจำเลยฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่จำคุก 3 ปี เมื่อรวมโทษฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน โดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว เป็นจำคุก 3 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคสาม โดยไม่ปรับบทตามมาตรา 138 วรรคสอง และมาตรา 140 วรรคแรก ด้วยนั้นไม่ถูกต้องทั้งนี้เพราะมาตรา 140 วรรคสาม มิได้บัญญัติความผิดไว้ชัดแจ้งในตัว อีกทั้งหากไม่ปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 140 วรรคแรก หรือ วรรคสอง ด้วยแล้ว ก็ย่อมไม่ทราบแน่ชัดว่า จำเลยผู้กระทำผิดต้องระวางโทษหนักกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้กึ่งหนึ่งของมาตรา 140 วรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 140 วรรคแรก และวรรคสามนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share