คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1803/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานในวันที่ 18 มิถุนายน 2527 แล้วจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งว่าจากการตรวจสภาพอาคารพิพาทเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2527 ปรากฏว่าคานคอนกรีตรองรับชั้นดาดฟ้าแตกร้าวรวม 18 แห่ง ซึ่งจำเลยทั้งสองได้แจ้งให้โจทก์ทราบในวันเดียวกัน โจทก์ไม่ยอมรับผิดในงานที่ชำรุดบกพร่องดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงจ้างให้บุคคลภายนอกซ่อมแซมสิ้นค่าใช้จ่ายไปเป็นเงิน 81,800 บาท จำนวนค่าเสียหายที่โจทก์ต้องรับผิดจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 258,490 บาท ข้อความที่จำเลยทั้งสองขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองเพิ่งทราบภายหลังจากการชี้สองสถานแล้ว ฉะนั้น จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งหลังจากชี้สองสถานแล้วได้เพราะเป็นข้อที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานตามมาตรา 180(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันว่าจ้างโจทก์ให้ทำการก่อสร้างอาคารบ้านพักอาศัยตามแบบแปลนบนที่ดินโฉนดเลขที่ 24106ซอยจรัญสนิทวงศ์ 35 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางพรม เขตตลิ่งชันกรุงเทพมหานคร ต่อมาวันที่ 30 มิถุนายน 2526 ได้มีการตกลงแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างใหม่บางรายการ และจำเลยทั้งสองตกลงว่าจะชำระค่าก่อสร้างให้แก่โจทก์ 850,000 บาท โดยจะแบ่งชำระเป็นงวด ๆ หลังจากส่งมอบงานงวดที่ 4 แล้ว จำเลยทั้งสองได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างเพิ่มเติมนอกเหนือจากสัญญานั้น คิดเป็นเงิน36,090 บาท แต่ยกเลิกสัญญาทาสีอาคารเป็นเงิน 71,400 บาท ฉะนั้นคงเหลือเป็นยอดเงินค่าก่อสร้างทั้งหมดเป็น 814,690 บาท โจทก์ได้ทำการก่อสร้าง ส่งมอบและรับเงินตามสัญญาเดิมมาแล้ว 4 งวดเป็นเงิน646,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2527 โจทก์ได้ทำการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยตามสัญญาฉบับหลัง อันเป็นงานงวดที่ 5ซึ่งเป็นงวดสุดท้าย โจทก์ได้มีหนังสือส่งมอบงานพร้อมทั้งขอรับค่าจ้างงวดสุดท้ายเฉพาะส่วนที่ค้างชำระอยู่เป็นเงิน 168,690 บาทจำเลยทั้งสองไม่ชำระจึงต้องเสียค่าปรับตามสัญญาเป็นเงินวันละ200 บาท นับแต่วันที่ 17 มกราคม 2527 เป็นต้นไป ซึ่งเมื่อคิดถึงวันฟ้องเป็นค่าปรับ 5,600 บาท รวมกับค่าจ้างที่ค้างชำระถึงวันฟ้องเป็นเงิน 174,290 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งให้ชำระค่าปรับในอัตราวันละ 200 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า เหตุที่จำเลยทั้งสองไม่รับมอบงานงวดที่ 5 เนื่องจากโจทก์ปลูกสร้างอาคารไม่เสร็จเรียบร้อยตามสัญญา โดยโจทก์ตกลงว่าจะไม่คิดค่าตอบแทน เพราะจำเลยทั้งสองได้ลดงานก่อสร้างส่วนอื่นลง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชำระค่าก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นเงิน 36,090 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับเพราะโจทก์ผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบงานก่อสร้างที่แล้วเสร็จภายในกำหนด การที่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่นนี้ ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย กล่าวคือโจทก์ได้ละทิ้งงานไม่ทำการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญา โดยทำแล้วต่อมาชำรุด ซึ่งจำเลยทั้งสองต้องจ้างผู้อื่นให้ทำการซ่อมแซมสิ้นค่าจ้างไปเป็นเงิน 56,690 บาทโจทก์ก่อสร้างล่าช้าเกินกำหนดเวลาตามสัญญา เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองเสียค่าจ้างผู้ควบคุมงานอีก 9,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการติดตามผลงานที่ก่อสร้าง 4,500 บาท ค่าขาดรายได้จากการให้เช่าบ้านเลขที่ 747 ซึ่งเป็นบ้านที่จำเลยที่ 1 อยู่อาศัยซึ่งอาจเช่าได้เดือนละ 2,500 บาท 3 เดือน เป็นเงิน 7,500 บาท อาคารที่ก่อสร้างเสียรูปทรงเพราะโจทก์ก่อสร้างผิดแบบแปลน เป็นเงิน 20,000 บาทโจทก์ไม่ต้องใช้วัสดุและค่าแรงงานเป็นเงิน 15,000 บาท จำเลยมีสิทธิลดค่าวัสดุและค่าจ้างตามสัญญาฉบับใหม่ข้อ 6 นอกจากนี้จำเลยขอคิดส่วนลดค่าจ้างเป็นค่าลดคานรองรับคอดิน (คานสะเต) 8 ต้นเป็นเงิน 40,000 บาท ยกเลิกผนังห้องครัวชั้นล่าง 3 ด้าน เป็นเงิน8,000 บาท ลดความสูงผนังอาคารชั้น 3 เป็นเงิน 5,000 บาท ยกเลิกช่องแสงติดมุ้งลวด 3 ช่อง เป็นเงิน 5,000 บาท ยกเลิกช่องแสงเหนือประตู 16 ช่อง คิดเป็นเงิน 5,000 บาท ค่าเปลี่ยนแปลงกระเบื้องเคลือบติดห้องน้ำเป็นเงิน 1,000 บาท รวมเงินส่วนลด 64,000 บาทจำเลยทั้งสองทวงถามให้โจทก์ชำระเงินส่วนนี้แล้วโจทก์เพิกเฉยและเนื่องจากคานคอนกรีตรองรับพื้นชั้นดาดฟ้าหักรวม 18 แห่งจำเลยทั้งสองมอบให้บุคคลภายนอกเป็นผู้จัดการซ่อมงานที่ชำรุดนี้ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 81,800 บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 258,490 บาท ขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินจำนวนดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองขอหักกลบลบหนี้กับเงินค่าจ้างที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ในงวดที่ 5 บางส่วน โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าได้ทำการก่อสร้างตามสัญญา และจำเลยทั้งสองได้รับมอบงานไปแล้วจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเนื่องจากขาดรายได้จากการให้เช่าบ้านเลขที่ 747 และที่อ้างว่าอาจให้เช่าได้เดือนละ 2,500 บาทนั้น ก็ไม่เป็นความจริงที่ความสูงของอาคารลดลงไปบ้างนั้นเนื่องจากจำเลยทั้งสองได้จ้างให้โจทก์เอาดินและทรายมาถมพื้นชั้นล่างเพื่อยกระดับให้สูงขึ้นกว่าเดิม โจทก์ไม่เคยตกลงให้ส่วนลดกับจำเลยคงมีแต่การเปลี่ยนแปลงยกเลิกการก่อสร้างบางรายการ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 4,090 บาท แก่จำเลยทั้งสองคำขออื่นให้ยก โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 68,345 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งหลังจากชี้สองสถานแล้วนั้นเห็นว่า เมื่อศาลชี้สองสถานในวันที่ 18 มิถุนายน 2527 แล้วจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งว่าจากการตรวจสภาพอาคารพิพาทเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2527 ปรากฏว่าคานคอนกรีตรองรับชั้นดาดฟ้าแตกร้าวรวม 18 แห่ง ซึ่งจำเลยทั้งสองได้แจ้งให้โจทก์ทราบในวันเดียวกันนั้น โจทก์ไม่ยอมรับผิดในงานที่ชำรุดบกพร่องดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงจ้างให้บุคคลภายนอกซ่อมแซมสิ้นค่าใช้จ่ายไปเป็นเงิน 81,800 บาท จำนวนค่าเสียหายที่โจทก์ต้องรับผิดจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 258,490 บาท ข้อความตามที่จำเลยทั้งสองขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองเพิ่งทราบภายหลังจากการชี้สองสถานแล้ว ฉะนั้น จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งหลังจากชี้สองสถานแล้วได้เพราะเป็นข้อที่จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องนั้นได้ก่อนวันชี้สองสถานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180(2) ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อพิเคราะห์ถึงความชำรุดบกพร่องและความเสียหายของอาคารพิพาทดังกล่าวข้างต้นแล้ว เห็นว่าค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้นที่จำเลยทั้งสองได้รับตามจำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดไว้นั้นน้อยไป ศาลฎีกาเห็นสมควรให้โจทก์รับผิดเป็นเงิน136,690 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้มา ซึ่งเมื่อหักกับค่าจ้างก่อสร้างงานงวดที่ 5 ซึ่งจำเลยทั้งสองต้องจ่ายให้โจทก์เป็นเงิน132,600 บาทแล้ว โจทก์จะต้องชำระค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยทั้งสองอีก 4,090 บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share