คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2528 คำว่า “ท้องที่” จำกัดเฉพาะอำเภอ กิ่งอำเภอหรือท้องที่ของอำเภอและหรือกิ่งอำเภอที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดให้เป็นท้องที่เดียวกันเท่านั้น ไม่รวมถึงจังหวัด หากข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามระเบียบนี้ได้เช่าบ้านในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น มีสิทธินำหลักฐานในการชำระค่าเช่าซื้อมาเบิกค่าเช่าบ้านได้หากตนเองได้ทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อบ้านอยู่เพียงหลังเดียวในท้องที่นั้น และต่อมาหากได้รับแต่งตั้งให้รับราชการในท้องที่อื่นซึ่งตนมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน ก็ยังนำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อในท้องที่เดิมมาเบิกค่าเช่าบ้านในท้องที่ใหม่ได้เช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 70,516.93 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 66,300 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 70,516.93 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 66,300 บาทนับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 4,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า …การเบิกค่าเช่าบ้านของจำเลยชอบด้วยระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2528 หรือไม่ เห็นว่า ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการ ข้อ 4 ในระเบียบนี้ “ท้องที่” หมายความว่า อำเภอ กิ่งอำเภอ หรือท้องที่ของอำเภอ และหรือกิ่งอำเภอที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดให้เป็นท้องที่เดียวกัน
ข้อ 6 ภายใต้บังคับข้อ 14 และข้อ 15 ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ใดได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในต่างท้องที่ มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูงไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านท้ายระเบียบนี้ ทั้งนี้ เว้นแต่ผู้นั้น… (2) มีเคหสถานของตนเองหรือของสามีหรือภริยาที่พออาศัยอยู่ร่วมกันได้ในท้องที่ที่ไปประจำใหม่ ฯลฯ
ข้อ 14 กรณีที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามระเบียบนี้ได้เช่าซื้อบ้านหรือผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้านค้างชำระอยู่ในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้นั้นมีสิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิกค่าเช่าบ้านได้ไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านท้ายระเบียบนี้ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (1) ตนเอง และสามีหรือภริยา ได้ทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชำระเงินกู้ เพื่อชำระราคาบ้านอยู่เพียงหลังเดียวในท้องที่นั้น ฯลฯ
ข้อ 15 ในกรณีที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งใช้สิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชำระเงินกู้มาเบิกค่าเช่าบ้านตามข้อ 14 และต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ไปรับราชการในท้องที่อื่นซึ่งตนมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามระเบียบนี้ ให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้นั้นมีสิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชำระเงินกู้ในท้องที่เดิมมาเบิกค่าเช่าบ้านในท้องที่ใหม่ได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด
ตามระเบียบแสดงว่า คำว่า “ท้องที่” จำกัดเฉพาะอำเภอกิ่งอำเภอหรือท้องที่ของอำเภอและหรือกิ่งอำเภอที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดให้เป็นท้องที่เดียวกันเท่านั้น ไม่รวมถึงจังหวัดที่โจทก์ฎีกา หากข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามระเบียบนี้ได้เช่าซื้อบ้านในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น มีสิทธินำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อมาเบิกค่าเช่าบ้านได้หากตนเองได้ทำการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อบ้านอยู่เพียงหลังเดียวในท้องที่นั้น และต่อมาหากได้รับแต่งตั้งให้รับราชการในท้องที่อื่นซึ่งตนมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน ก็ยังนำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อในท้องที่เดิมมาเบิกค่าเช่าบ้านในท้องที่ใหม่ได้เช่นกัน การที่จำเลยย้ายจากอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นที่เริ่มรับราชการครั้งแรกไปประจำองค์การบริหารส่วนจังหวัด อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการย้ายไปประจำสำนักงานในต่างท้องที่ จำเลยจึงมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 6 ต่อมาจำเลยเช่าซื้อห้องชุดอาคารราชธานีแมนชั่น เลขที่ 113/149 ในท้องที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา และนำหลักฐานการชำระค่าเช่าซื้อห้องชุดมาเบิกค่าเช่าบ้าน ก็เป็นการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านตามความในข้อ 14 ของระเบียบ ต่อมาจำเลยได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานโจทก์ที่ 2 ในท้องที่อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำเลยได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานโจทก์ที่ 1 ในท้องที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามความในข้อ 15 ของระเบียบ แม้จำเลยจะเข้าอยู่อาศัยในบ้านเลขที่ ธ.19/3 ของตนเองก็ตาม ก็หามีผลกระทบต่อสิทธิในการเบิกค่าเช่าบ้านของจำเลยแต่อย่างใดไม่ เพราะจำเลยได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานโจทก์ที่ 2 ในท้องที่อำเภออุทัยซึ่งเป็นคนละท้องที่กับบ้านเลขที่ ธ.19/3 ตั้งอยู่ก่อนแล้วกรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยมีเคหสถานของตนเองหรือของสามีหรือภริยาที่พออาศัยอยู่ร่วมกันได้ในท้องที่ที่ไปประจำใหม่ตามความในข้อ 6 (2) ของระเบียบ และในทำนองเดียวกันการที่จำเลยย้ายจากอำเภออุทัยไปประจำสำนักงานโจทก์ที่ 1 ในท้องที่อำเภอบางปะอิน ซึ่งก็เป็นคนละท้องที่กับบ้านเลขที่ ธ.19/3 ตั้งอยู่ กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยมีเคหสถานของตนเองหรือของสามีหรือภริยาที่พออาศัยอยู่ร่วมกันได้ในท้องที่ที่ไปประจำใหม่ตามความในข้อ 6 (2) ของระเบียบเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า การเบิกค่าเช่าบ้านของจำเลยชอบด้วยระเบียกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2528 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share