แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความประมาทเลินเล่อในทางแพ่ง เมื่อได้บรรยายฟ้องพอให้เข้าใจได้ว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามีอยู่อย่างไรแล้ว ก็ถือว่าไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายเรื่องเรือชนกัน เมื่อโจทก์กล่าวว่าเรือจำเลยแล่นกินทางเข้ามาแล้วตีวงมาชนเรือโจทก์ โดยความประมาทเลินเล่อของจำเลย ดังนี้ ก็พอทำให้เข้าใจได้แล้วว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์มีอยู่อย่างไร
ย่อยาว
คดีดำที่ 412/2499 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้ง 4 ร่วมกันชดใช้ราคาข้าวสารของโจทก์ที่บรรทุกเรือกระแชงซึ่งจ้างเรือศรเอกศิลปของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างควบคุมเรือ ลากจูงมาแล้วถูกเรือบางนาราของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ลูกจ้างเป็นกัปตันชนจมด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 และที่ 4 เมื่อจ้างคนงมข้าวสารขึ้นมาได้และขายไปและหักค่าใช้จ่ายแล้ว เป็นเงิน 28,812.48บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
คดีดำที่ 413/2499 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้ง 4 ชดใช้ค่าเรือค่าเครื่องใช้ในเรือที่สูญหายกับค่าเสียหายที่โจทก์ต้องขาดรายได้เนื่องจากเรือกระแชง บรรทุกข้าวสารของโจทก์ถูกเรือบางนาราของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ลูกจ้างเป็นกัปตันเรือชนจมในกรณีละเมิดรายเดียวกันด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 และที่ 4 คือ ค่าเรือ 63,000 บาท ค่าเครื่องใช้ในเรือที่สูญหาย 1,500 บาท ค่าขาดรายได้นับแต่วันเกิดเหตุถึงวันฟ้อง 8,216.50 บาท และเป็นรายเดือน ๆ ละ 2,900 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าเป็นเจ้าของเรือบางนาราและเป็นนายท้ายเรือ แต่โจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างใดเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไม่ชัดว่าการกระทำอย่างใดที่โจทก์ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อ อย่างไรก็ดี จำเลยที่ 2 มิได้ประมาทเลินเล่อเรือบางนารามิได้ชนเรือบรรทุกข้าว ความเสียหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ควบคุมเรือบรรทุกข้าวและเรือที่ลากจูงมาปะทะเรือบางนารา จำเลยไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายไม่เป็นความจริง โจทก์เรียกร้องเกินความจริง และไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 4 ให้การว่าที่เรือโจทก์ถูกชนจมเป็นเพราะเรือบางนาราไม่ใช่ความระมัดระวังตามสมควรเป็นเหตุให้ชนเรือโจทก์ เป็นการสุดวิสัยของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3 โดยเป็นนายท้ายเรือ ศรเอกลิลป ของจำเลยที่ 3 จะหลีกเลี่ยงได้ โจทก์ไม่เสียหายถึงราคาตามที่ฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณารวมกัน แล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องไม่เคลือบคลุมและว่าจำเลยที่ 4 มิได้ประมาทเลินเล่อ การชนเกิดเพราะความประมาทเลิ่นเลอของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดตลอดทั้งจำเลยที่ 3ด้วยจำเลยที่ 1 นายจ้างต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 – 2 ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 28,812.48 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่ง ให้บริษัทข้าวนครไชยศรี โจทก์ และให้ใช้ค่าเรือและค่าเสียหายซึ่งศาลเห็นสมควรให้ใช้แก่นายศักดิ์ฯ โจทก์ 46,666 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่ง ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 – 4
จำเลยที่ 1 – 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 – 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 – 2 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อ ข้อที่ว่าฟ้องเคลือบคลุมนั้นเห็นว่าการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความประมาทเลินเล่อในทางแพ่ง ต่างกับการฟ้องขอให้ลงโทษฐานกระทำผิดอาญาโดยประมาท ซึ่งจะต้องบรรยายการกระทำที่อ้างว่าเป็นการกระทำผิดโดยแน่ชัด สำหรับคดีแพ่ง เช่นกรณีนี้ฟ้องโจทก์กล่าวว่าเรือจำเลยแล่นกินทางเข้ามาทางฝั่งตะวันตกแล้วตีวงมาชนเรือโจทก์โดยความประมาทเลินเล่อของจำเลยนั้น พอให้เข้าใจได้แล้วว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์มีอยู่อย่างไรฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ที่ว่าศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้มากเกินไปนั้น จำเลยก็หาได้นำสืบโต้แย้งให้ได้ความประการใดไม่
พิพากษายืน