แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องของโจทก์กล่าวตอนแรกว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์และได้กล่าวต่อมาว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้ ซึ่งจะต้องรับผิดร่วมกันหรือแทนกันกับจำลยที่ 1 เมื่ออ่านรวมกันพอเข้าใจความหมายได้ว่าจำเลยที่ 1 เอาประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้กับจำเลยที่ 2 ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ทรัพย์โจทก์เสียหายต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมเสียค่าแรง ค่ายานพาหนะ และเครื่องมือกล แม้โจทก์จะมีพนักงาน ยานพาหนะ และเครื่องมือกลของโจทก์ เอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ต้องใช้พนักงานและนำเครื่องมือเหล่านั้นมาซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหาย จริง โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 2 ได้ เพราะถ้าไม่มีการทำละเมิดเกิดขึ้น โจทก์ย่อมใช้พนักงานและเครื่องมือเหล่านั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ในทางการที่จ้าง โดยประมาทชนเสาไฟฟ้าของโจทก์หักและอุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหาย จำเลยที่ ๒ รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวประเภทประกันภัยค้ำจุน ขอให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๗๒,๘๓๕.๙๑ บาท
โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุ และไม่มีลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ขับรถขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ผู้รับประกันภัย ผู้เอาประกันภัยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และปฏิเสธค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงิน ๗๒,๘๓๕.๙๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาข้อแรกว่าฟ้องของโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่า ใครเป็นผู้ เอาประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ข.ก.๐๘๑๕๖ ไว้กับจำเลยที่ ๒ เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฟ้องของโจทก์กล่าวตอนแรกว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน ข.ก.๐๘๑๕๖ และได้กล่าวต่อมาว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้ ซึ่งจะต้องรับผิดร่วมกันหรือแทนกันกับจำเลยที่ ๑ เมื่ออ่านรวมกันพอเข้าใจความหมายได้ว่าจำเลยที่ ๑ เอาประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้กับจำเลยที่ ๒ ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาข้อที่สองว่า ควรรับผิดเฉพาะค่าวัสดุอุปกรณ์ที่เสียหาย ส่วนค่าแรงงาน ค่ายานพาหนะและเครื่องมือกล ไม่ควรต้องรับผิดเพราะโจทก์มีอยู่เองนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะมีพนักงาน ยานพาหนะ และเครื่องมือกลของโจทก์ เอง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ต้องใช้พนักงานและนำเครื่องมือเหล่านั้นมาซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหาย จริง โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ ๒ ได้ เพราะถ้าไม่มีการทำละเมิดเกิดขึ้น โจทก์ย่อมใช้พนักงานและเครื่องมือเหล่านั้นไปทำประโยชน์อย่างอื่น หรือถ้าโจทก์จ้างเหมาให้บุคคลอื่นซ่อมแซมแทน โจทก์ก็คงจะต้องเสียเงินจำนวนเท่าเทียมกัน ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามที่โจทก์เรียกร้องชอบด้วยรูปคดีแล้ว
พิพากษายืน