คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1789-1790/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

วันเกิดเหตุได้มีควันไฟอันเกิดจากไฟไหม้เศษปอในบ่อของโรงงานกระสอบของจำเลยซึ่งอยู่ห่างถนนพหลโยธินตรงที่เกิดเหตุประมาณ 20 เมตร แล้วกลุ่มควันไฟดังกล่าวถูกลมพัดลอยไปครอบคลุมผิวจราจรบนถนนพหลโยธินบริเวณที่เกิดเหตุ เป็นเหตุให้รถยนต์ที่ขับมาถึงที่เกิดเหตุพอดีต่างไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ จึงเกิดชนกันขึ้น รถโจทก์ถูกรถคันอื่นชนท้ายรถ แล้วรถโจทก์ได้ไปชนรถบรรทุก 10 ล้อ รถโจทก์เสียหายทั้งคัน โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์นำสืบฟังได้ว่า ที่บ่อของโรงงานกระสอบของจำเลยได้มีการเผาเศษปออันเป็นกิจการของจำเลยโดยเป็นหน้าที่ ห.ซึ่งเป็นคนงานของโรงงานกระสอบของจำเลย และเป็นผู้ควบคุมดูแลคนงานของ ณ. ซึ่งเป็นคู่สัญญาเก็บปอฝอยกับโรงงานกระสอบของจำเลยอีก 7-8 คน ทำการเผาเศษปอที่เหลือจากการเก็บคัดเลือกปอฝอยแล้วเป็นประจำตลอดมา ทั้งปรากฏก่อนเกิดเหตุคดีนี้ กลุ่มควันไฟอันเกิดจากการเผาเศษปอของจำเลยดังกล่าวได้เคยถูกลมพัดพาไปครอบคลุมบริเวณที่เกิดเหตุในคดีนี้ เป็นเหตุให้รถยนต์เกิดชนกันมาแล้ว 2-3 ครั้ง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้จัดการวางมาตรการป้องกันแต่อย่างใด คงปล่อยปละละเลยให้เหตุการณ์คงเป็นอยู่เช่นเดิมจนกระทั่งได้เกิดเหตุคดีนี้ขึ้นอีก ดังนี้ พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นเหตุสุดวิสัยดังจำเลยอ้าง แต่เป็นเพราะจำเลยได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิด

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวน ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนมีใจความทำนองเดียวกันว่า โรงงานกระสอบกระทรวงการคลังเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทรวงการคลังเป็นเจ้าของและดำเนินกิจการ ขณะฟ้องนายจินดา ยิมเรวัต จำเลยที่ ๒ เป็นผู้อำนวยการ จำเลยทั้งสองใช้ที่ดินซึ่งอยู่ริมถนนพหลโยธินในระยะที่ไม่ห่างถนนเพียงพอที่จะไม่ให้เกิดควันไฟครอบคลุมผิวถนนเมื่อเผาเศษปอเป็นที่ทิ้งเศษปอของโรงงานจำเลย และทำการเผาเศษปอเป็นประจำ ทั้งนี้โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเศษปอเป็นวัสดุติดไฟง่าย และเมื่อลุกไหม้ก็ย่อมเกิดควันไฟหนาทึบ จำเลยมิได้จัดมาตรการป้องกันมิให้ควันไฟซึ่งจะถูกลมพัดไปครอบคลุมผิวจราจรบนถนนพหลโยธินอันเป็นทางหลวงที่มีรถยนต์วิ่งผ่านไปมาตลอดเวลา
เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๔ เวลากลางวัน จำเลยได้จุดเผาเศษปอที่นำมาทิ้งไว้ในบริเวณที่ดินดังกล่าวด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้เกิดควันไฟและถูกลมพัดพาไปครอบคลุมผิวจราจรบนถนนพหลโยธินในบริเวณนั้น เมื่อนายประกอบโจทก์ขับถรยต์มาใกล้บริเวณที่มีควันไฟดังกล่าวก็ต้องหยุดรถเพราะมีควันไฟครอบคลุมผิวจราจรบนถนนพหลโยธินจนไม่สามารถมองเห็นทาง และไม่สามารถใช้ทางนั้นได้โดยเด็ดขาดเป็นเหตุให้นายวิชัย แซ่เอี้ยว ซึ่งขับรถยนต์ตามมาภายหลังไม่สามารถมองเห็นรถข้างหน้าและพุ่งเข้าชนท้ายรถที่นายประกอบโจทก์ขับอย่างแรง เป็นเหตุให้นายประกอบโจทก์และนางระวาทโจทก์ซึ่งเดินทางมาในรถคันเดียวกันได้รับบาดเจ็บสาหัส อันเนื่องจากผลโดยตรงแห่งความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การความว่า รถโจทก์ถูกชนเพราะความประมาทเลินเล่อของนายประกอบโจทก์ที่จอดอยู่บนถนนพหลโยธินในช่องทางเดินรถโดยไม่ให้สัญญาณแต่อย่างใด และไม่จอดชิดขอบทางด้านซ้าย รถยนต์ที่ขับตามหลังมาไม่รู้และไม่เห็นสัญญาณจึงชนเอา การที่ควันไฟครอบคลุมผิวจราจรในบริเวณนั้น นายประกอบโจทก์อาจเห็นได้ในระยะไกล นายประกอบโจทก์ควรหยุดหรือจอดรถยนต์แอบชิดขอบทางด้านซ้ายรอให้ควันไฟจางมองเห็นทางข้างหน้าจึงขับผ่านไป ไม่ควรขับรถฝ่าเข้าไปในควันที่มืดครึ้มไม่เห็นทาง ทั้งควันที่มาครอบคลุมรถโจทก์นั้นได้ถูกลงพัดพาตามธรรมชาติจึงเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่ต้องรับผิด นายวิชัย แซ่เอี้ยว ขับรถตามหลังรถโจทก์ด้วยความเร็วสูงสามารถมองเห็นควันไฟในระยะไกล ควรลดความเร็วของรถให้ช้าลงหรือหยุดแอบชิดขอบทางด้านซ้ายเสียก่อน ฉะนั้น เหตุที่เกิดจึงเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนายวิชัย แซ่เอี้ยว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยประมาทเลินเล่อ กระทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสอง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มขึ้น จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยเพิ่มค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองขึ้นอีก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุได้มีควันไฟอันเกิดจากไฟไหม้เศษปอในบ่อของโรงงานกระสอบของจำเลยซึ่งอยู่ห่างถนนพหลโยธินตรงที่เกิดเหตุประมาณ ๒๐ เมตร แล้วกลุ่มควันไฟดังกล่าวถูกลมพัดลอยไปครอบคลุมผิวจราจรบนถนนพหลโยธินบริเวณที่เกิดเหตุในขณะที่รถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อของกรมพลาธิการทหารบก รถยนต์โจทก์ รถนายวิชัย และรถยนต์ของคนอื่น ๆ อีกหลายคันกำลังขับวิ่งมาถึงพอดีจนต่างไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ จึงเป็นเหตุให้รถเกิดชนกันขึ้น โดยเฉพาะรถโจทก์ถูกรถนายวิชัยวิ่งชนท้ายรถ แล้วรถโจทก์ได้ไปชนกับรถบรรทุก ๑๐ ล้อของกรมพลาธิการทหารบก รถโจทก์เสียหายทั้งคัน โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส ศาลฎีกาเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่า ที่บ่อของโรงงานกระสอบของจำเลยได้มีการเผาเศษปออันเป็นกิจการของจำเลยโดยเป็นหน้าที่นายห่อ สุขกำเนิด ซึ่งเป็นคนงานของโรงงานกระสอบของจำเลย และเป็นผู้ควบคุมดูแลคนงานของนายณรงค์ซึ่งเป็นคู่สัญญาเก็บปอฝอยกับโรงงานกระสอบของจำเลยอีก ๗-๘ คนทำการเผาเศษปอที่เหลือจากการเก็บคัดเลือกปอฝอยแล้วเป็นประจำตลอดมา ทั้งปรากฏก่อนเกิดเหตุคดีนี้กลุ่มควันไฟอันเกิดจากการเผาเศษปอของจำเลยดังกล่าวได้เคยถูกลมพัดพาไปครอบคลุมบริเวณที่เกิดเหตุในคดีนี้เป็นเหตุให้รถยนต์เกิดชนกันมาแล้ว ๒-๓ ครั้ง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้จัดการวางมาตรการป้องกันอย่างใด คงปล่อยปละละเลยให้เหตุการณ์คงเป็นอยู่เช่นเดิมจนกระทั่งได้เกิดเหตุคดีนี้ขึ้นอีก ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นเหตุสุดวิสัยดังจำเลยฎีกา เพราะจำเลยย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าลมอาจจะพัดพาเอาควันไฟจากบ่อของโรงงานกระสอบจำเลยไปครอบคลุมผิวจราจรบนท้องถนนบริเวณเกิดเหตุในเวลาใด ๆ ก็ได้ ซึ่งจำเลยอาจจะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวได้โดยย้ายบ่อเผาเศษปอไปอยู่ที่อื่นให้ห่างไกลพอที่ถมไม่สามารถจะพัดพาควันไฟมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุได้ จำเลยก็หาได้กระทำเช่นว่านั้นไม่ คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งอสงได้รับความเสียหายตามฟ้อง ทั้งตามพฤติการณ์แห่งคดี ข้อเท็จจริงก็ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นความผิดของนายประกอบโจทก์หรือนายวิชัยดังที่จำเลยฎีกา เพราะตามข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะที่นายประกอบโจทก์ขับรถมาจวนถึงที่เกิดเหตุนั้น นายประกอบโจทก์ได้ชะลอความเร็วสูง ก็พอดีมีกลุ่มควันเข้ามาครอบคลุมรถนายประกอบโจทก์จนไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าจึงได้หยุดรถทันใดก็เกิดเหตุขึ้น ประกอบกับกลุ่มควันไฟนี้ได้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน โดยนายประกอบโจทก์และนายวิชัยก็มิได้คาดคิดมาก่อน แม้แต่รถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อของกรมพลาธิการทหารบกซึ่งขับมาก่อนหน้ารถโจทก์ก็ประสบภาวะการณ์เช่นเดียวกัน
ส่วนประเด็นค่าเสียหาย ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์กำหนดมาเหมาะสมดีแล้ว
พิพากษายืน

Share