แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เหตุเกิดในร้านตัดผมของผู้ร้อง ผู้ร้องเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ให้คนในร้านและนอกร้านดูรายการถ่ายทอดการชกมวยซึ่งมีการเล่นพนันกันด้วยและผู้ร้องก็ทราบดี จำเลย 4 คนซึ่งพนันการชกมวยถูกจับและศาลพิพากษาลงโทษกับให้ริบเครื่องรับโทรทัศน์นั้นซึ่งถูกยึดเป็นของกลางเมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการเล่นพนันดังกล่าว ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนเครื่องรับโทรทัศน์แก่ผู้ร้อง.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 ริบโทรทัศน์ 1 เครื่องของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางดังกล่าว อ้างว่าเป็นของผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด
โจทก์ร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอคืนของกลาง เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินของผู้ร้อง แต่เป็นของจำเลยที่ 1 และผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดด้วย
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดจึงพิพากษากลับให้คืนของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ขณะเกิดเหตุที่ร้านตัดผมของผู้ร้อง มีการเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ให้คนในร้านรวมทั้งคนนอกร้านดู โดยตั้งเครื่องรับโทรทัศน์ไว้บนหลังตู้ด้านในร้านตัดผม นายพิเชษฐ์ บุญพรหมจำเลยที่ 1 ได้เบิกความเป็นพยานผู้ร้องยอมรับว่า วันเกิดเหตุได้มีการเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ซึ่งมีรายการถ่ายทอดการชกมวยก่อนที่นายพิเชษฐ์จะไปถึง นายพิเชษฐ์จึงได้เล่นการพนันมวยตู้ (ชกมวย)กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 จากพฤติการณ์ดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่าเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของนายพิเชษฐ์จำเลยที่ 1 แม้นายพิเชษฐ์จำเลยที่ 1 จะกล่าวอ้างกับเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมว่า เครื่องรับโทรทัศน์ของกลางเป็นของตน และผู้ร้องเองก็ไม่ได้โต้แย้งในขณะนั้น ก็หามีผลทำให้เครื่องรับโทรทัศน์ของกลางซึ่งเป็นของผู้ร้องอยู่แล้วกลายเป็นของนายพิเชษฐ์จำเลยที่ 1ดังโจทก์ฎีกาไม่
โจทก์ฎีกาประการต่อมาว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด ผู้ร้องจึงขอคืนเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางไม่ได้ ได้ความจากนายสง่า เหนือแจ้ง จำเลยที่ 2 พยานผู้ร้องว่า ที่ร้านของผู้ร้องเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ดูการถ่ายทอดการชกมวยเป็นประจำทุกวันเสาร์และอาทิตย์ แม้ตัวผู้ร้องจะเบิกความปฏิเสธความข้อนี้ แต่ก็น่าเชื่อดังที่นายสง่าที่เบิกความมากกว่า เฉพาะตัวผู้ร้องเองได้เบิกความยืนยันว่า คนที่จะเปิดรับเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางได้ก็คือผู้ร้องหรือนางยาใจภริยาผู้ร้องเท่านั้น ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่าผู้ร้องหรือนางยาใจต้องเป็นคนเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางในวันเกิดเหตุอย่างแน่นอน ได้ความจากนายสง่าด้วยว่าวันเกิดเหตุมีการเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางรายการถ่ายทอดการชกมวยก่อนที่นายสง่าจะไปถึง และมีคนอื่นมาดูโทรทัศน์อยู่ด้วยทั้งในร้านและนอกร้านขณะนั้นนางยาใจภริยาผู้ร้องก็ทำหน้าที่เก็บเงินอยู่ที่หน้าร้านเชื่อได้ว่าที่ร้านตัดผมของผู้ร้องมีการเปิดเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีการถ่ายทอดรายการชกมวยเป็นประจำตลอดมา จึงได้มีคนพากันมาดูเช่นนั้น และนอกจากมาดูรายการดังกล่าวแล้วยังเชื่อได้ต่อไปด้วยว่ามีการเล่นการพนันกันด้วย เพราะมิฉะนั้นคงจะไม่มีคนมาดูรายการถ่ายทอดการชกมวยกันหลายคนเช่นนั้นผู้ร้องเองก็น่าจะทราบดี จึงได้เบิกความบ่ายเบี่ยงเป็นว่า วันเสาร์อาทิตย์ไม่เคยเปิดโทรทัศน์รายการถ่ายทอดการชกมวยซึ่งขัดกับคำเบิกความของนายพิเชษฐ์และนายสง่าพยานผู้ร้องดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ผู้ร้องยังเบิกความอ้างว่าไม่ได้อยู่ในร้านในขณะเกิดเหตุ เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วย แต่ผู้ร้องก็กลับเบิกความยอมรับว่า ระหว่างที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสี่นั้นผู้ร้องก็อยู่ที่ร้านตัดผมของผู้ร้องนั่นเอง และทราบดีว่าเจ้าพนักงานตำรวจสอบถามถึงเจ้าของเครื่องรับโทรทัศน์ของกลาง แต่ผู้ร้องกลับไม่ยอมแสดงตน ปล่อยให้นายพิเชษฐ์จำเลยที่ 1 แสดงตนอ้างเป็นเจ้าของเสียเอง หากผู้ร้องกับนายพิเชษฐ์จำเลยที่ 1ไม่รู้กัน จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ใช่คนในร้านตัดผมของผู้ร้องก็คงจะไม่กล้ากล่าวอ้างขึ้นเช่นนั้น ได้ความต่อไปว่า แม้ภายหลังเกิดเหตุแล้ว ผู้ร้องก็ไม่เคยแสดงตนต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าเป็นเจ้าของเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางผู้ร้องเพิ่งมากล่าวอ้างหลังจากศาลพิพากษารับเครื่องรับโทรทัศน์ของกลางแล้ว พฤติการณ์ดังกล่าวเมื่อประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เห็นว่าผู้ร้องจะกล่าวอ้างได้อย่างไรว่าผู้ร้องไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการเล่นการพนันมวยตู้(ชกมวย) ของจำเลยทั้งสี่ ข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่าขณะเกิดเหตุผู้ร้องไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุแม้หากจะเป็นความจริงดังผู้ร้องอ้างก็หาเป็นเหตุทำให้ผู้ร้องยกเป็นเหตุกล่าวอ้างว่าผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วยไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่อาจเห็นพ้องด้วยได้ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง”.