คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ปัญหาว่าจำเลยรู้หรือไม่ว่าทรัพย์ที่จำเลยรับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน ฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าทรัพย์ที่รับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับจำนำแหวนทองคำ 1 วง ราคา 3,000 บาท ไว้จากนายวิเชียร สุขบุตร โดยรู้ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของนายชาญชามอำไพ ผู้เสียหายและเป็นทรัพย์ที่ผู้จำนำได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา357 ให้จำคุก 1 ปี รับสารภาพลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานไม่อาจรับฟังว่าจำเลยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 นั้น การที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยรู้หรือไม่ว่าทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดต้องพิจารณาจากพยานหลักฐาน ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยรับทรัพย์โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
พิพากษายกฎีกาจำเลย.

Share