คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คนงานของบริษัทซึ่งมีหน้าที่ไปซื้อแสตมป์มาปิดขวดน้ำอัดลม กระทำผิด ก.ม.ไปซื้อแสตมป์ปลอมมา
แม้จำเลยเป็นผู้จัดการทำน้ำอัดลม มีหน้าที่จะต้องดูแลความเป็นไปและกิจการของโรงงานให้เป็นที่เรียบร้อย และถูกต้องตาม ก.ม.ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดจำเลยจะต้องรับผิดก็ดี เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้สมคบในการซื้อแสตมป์นั้น ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้เพราะเป็นการขัดต่อหลักก.ม.ว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางอาญา ดังที่บัญญัติไว้ใน ก.ม.ลักษณะอาญา ม.7 และ 43 และประมวล ก.ม.อาญา ม.2 และ 59 ไม่เหมือนกับความรับผิดในทางแพ่งดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.ม.425

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้จัดการ โรงงานน้ำอัดลมของบริษัทเสียซิ้นเฮง จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตาม ก.ม. และเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมต่าง ๆ
จำเลยกับนายเจียวล้ง ซึ่งหลบหนีจับตัวไม่ได้ บังอาจสมคบกันกระทำผิดต่อกฎหมายคือ
ก.สมคบกันซื้อแสตมป์เครื่องดื่ม ๑+๖๙ ดวง จำเลยมิได้รับความยกเว้นการซื้อแสตมป์เครื่องดื่มตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
ข.สมคบกันมีแสตมป์เครื่องดื่มปลอม ๑๒๖๙ ดวงซึ่งจำเลยซื้อไว้ดังกล่าวแล้ว ในข้อ ก. ไว้ในความครอบครองโดยเจตนาจะใช้ และจำเลยรู้อยู่แล้วว่าแสตมป์เครื่องดื่มดังกล่าวแล้วเป็นของปลอมแปลงจำเลยได้บังอาจใช้แสตมป์เครื่องดื่มปลอมดังกล่าวแล้ว ๗๑๙ ดวงปิดขวดเครื่องดื่มที่จำเลยขึ้น ๗๑๙ ขวด เพื่อนำออกจำหน่ายแก่ประชาชน
ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ภาษีเครื่องดื่ม พ.ศ.๒๔๙๕ ม.๑๓,๑๗ และ ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๑๖
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องดื่ม พ.ศ.๒๔๙๕ ม.๑๓,๑๗ และ ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๑๖ แต่ให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๑๖ ซึ่งเป็นบทหนักกว่า พิพากษาให้จำคุกจำเลยมีกำหนด ๔ เดือน และริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนแสตมป์เครื่องดื่มของกลางให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยสมคบกับนายเจียวล้งใช้แสตมป์ปลอม และฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้เห็นในเรื่องแสตมป์ปลอมรายนี้
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยเป็นผู้จัดการทำน้ำอัดลม จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องดูแลความเป็นไปและกิจการของโรงงานให้เป็นที่เรียบร้องและถูกต้องตาม ก.ม.ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดจำเลยจะต้องรับผิด การซื้อแสตมป์เครื่องดื่มนั้น นายเจียวล้งเป็นผู้ไปซื้อ จำเลยน่าจะได้ตรวจตราว่าแสตมป์เครื่องดื่มที่ซื้อมาปลอมหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า เป็นการขัดต่อหลักกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางอาญา ดังที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา ม.๗ และ ๔๓ ประมวลกฎหมายอาญา ม.๒ และ ๕๙ ก็มีบัญญัติไว้ทำนองเดียวกัน ไม่เหมือนกับความรับผิดในทางแพ่งดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.ม.๔๒๕
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาโจทก์

Share