แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๐ เวลากลางคืน จำเลยกับพวกประมาณ ๑๗ คนสมคบกัน มีสาตราวุธเข้าปล้นทรัพย์นายเขียวไก่ เอาทรัพย์ไปรวมราคา ๒๙๔๑ บาทและทำร้ายนายปั้ว นายยิ้วพวกเจ้าทรัพย์มีบาดเจ็บแผลสาหัส ที่ตำบลลำพยา จังหวัดนครปฐม ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ – ๒๕๐ – ๖๐ ฯ
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธข้อหาและต่อสู้อ้างฐานที่อยู่ ฯ
ศาลมณฑลนครชัยศรีพิจารณาคดีแล้ว ฟังว่านายทุ้ย นายสื่อจำเลยเปนผู้ร้ายปล้นทรัพย์นายเอียวไก่ และทำร้ายนายปั้วนายยิ้วพวกเจ้าทรัพย์มีบาดเจ็บแผลสาหัส จึงพิพากษาวางบทกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ ตอน ๒ ฐานปล้นทรัพย์ และทำร้ายพวกเจ้าทรัพย์บาดเจ็บสาหัส ให้จำคุกนายทุ้ย นายสื่อจำเลยมีกำหนดคนละ ๒๐ ปี และให้ใช้ทรัพย์ราคา ๒๘๙๖ บาท ให้แก่เจ้าทรัพย์ จำเลยนอกจากนี้ไม่มีความผิดให้ปล่อยตัวไป ฯ
โจทย์ และนายทุ้ย นายสื่ออุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ข้าปลวงพิเศษเห็นว่า คำพยานโจทย์มีเหตุสงสัยไม่พอจะลงโทษจำเลยจึงพิพากษากลับคำพิพากษาเดิมให้ยกฟ้องของโจทย์ ปล่อยตัวนายทุ้ย นายสื่อจำเลยไป ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาว่าควรฟังคำพยานโจทย์เปนความจริง ว่าจำเลยได้กระทำผิดดังข้อหา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าคดีเรื่องนี้เปนปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยบางคนที่ศาลล่างทั้ง ๒ ตัดสินต้องกันมาว่าไม่มีความผิด และให้ปล่อยตัวไปแล้วนั้น คดีเปนอันยุติชั้นศาลล่าง ในชั้นฎีกานี้คนพิจารณาแต่คดีส่วนตัวนายทุ้ย นายสื่อจำเลย ซึ่งศาลล่างพิพากษาไม่ต้องกันเท่านั้น ได้ความตามคำพยานหลักฐานของโจทย์ว่า ในวันเกิดเหตุนั้น เวลาตอนเช้า นายทุ้ยจำเลยกับพวกรวม ๑๕ คนมีม้า ๔ ม้า และมีดาพกับปืนเปนอาวุธถือมาทุกคน มาที่บ้านนายเทียน ตำบลทุ่งต้นไทร ที่อยู่ห่างตำบลลำพยาที่เกิดเหตุปล้นประมาณ ๑๐๐ เส้น พยานรู้จักแต่นายทุ้ยจำเลยคนเดียว นายทุ้ยได้พูดกับนายเทียนเจ้าของบ้านว่าพากันมาเที่ยวเล่น ขออาหารนายเทียนเลี้ยงพวกที่มานั้นเสร็จแล้ว นายทุ้ยกับพวกเลยพักอยู่ที่บ้านนายเทียนจนเวลาเย็นแล้วก็พากันไปทางตำบลลำพยาที่เกิดปล้น เวลาเที่ยงคืนวันนั้นจึงได้เกิดปล้นที่บ้านนายเอียวไก่ ตำบลลำพยา ในตอนนี้มีพยานที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุหลายคน ว่าได้เห็นผู้ร้ายประมาณ ๑๘ คน และมีม้ามาด้วย มาปล้นบ้านนายเอียวไก่ และมีพยานพวกเจ้าทรัพย์ คือ นายเอี๊ยว นายซึ้งเบิกความว่า เวลาผู้ร้ายมาปล้นนั้นพยานนอนเผ้าทรัพย์ของนายเอียวไก่ที่เก็บไว้ในยุ้งเข้า พยานเห็นผู้ร้าย ๗ คน ถือปืนโก และถือคบไฟเข้าไปในยุ้งเข้า ผู้ร้ายบังคับไม่ให้พยานลุกไป และขู่ว่าถ้าขืนลุกไปจะยิงเสีย แล้วผู้ร้ายทำลายหีบที่เก็บทรัพย์ขนเอาทรัพย์ไป พยานจำหน้านายทุ้ยจำเลยที่เข้าไปยุ้งเข้าได้ด้วยแสงคบไปส่องสว่าง นอกจากนี้ยังมีนายปั้วพวกเจ้าทรัพย์เบิกความประกอบ ว่าพยานเคยรู้จักนายทุ้ยจำเลยมาก่อนแล้ว เพราะนายทุ้ยจำเลยเปนญาติกับภรรยาของพยานเมื่อเวลาผู้ร้ายมาปล้นพยานนอนอยู่ในโรงหลัง ๑ พยานลุกขึ้นหนีผู้ร้ายก็เอาขวานฟันพยาน และจูงพยานผ่านประตูยุ้งเข้า พยานมองดูทางประตูยุ้งเข้าเห็นนายทุ้ยจำเลย ถือคบยืนอยู่ในยุ้งเข้าและได้ความว่าผู้ร้ายปล้นรายนี้เอาปืนยิง ถูกเข่าซ้ายนายยิ้วทลุทำให้ขาซ้ายนายยิ้วพิการเดิรไม่ปรกติเหมือนแต่ก่อน นายปั้วมีบาดแผลรอยถูกผู้ร้ายฟันที่หน้าผาก ๒ แห่ง เปนแผลเสียโฉมได้ความตามคำพยานโจทย์ดังกล่าวมาแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าคดีส่วนตัวนายทุ้ยจำเลยนั้นไม่มีเหตุเคลือบแคลงสงสัย ฟังเปนความจริงได้ว่าอ้ายทุ้ยจำเลยเปนผู้ร้ายปล้นทรัพย์ และทำร้ายพวกเจ้าทรัพย์มีบาดเจ็บแผลสาหัสดังข้อหา แต่ส่วนตัวนายสื่อจำเลยนั้นไม่ได้ความว่าได้ไปกับอ้ายทุ้ยที่บ้านนายเทียนก่อนเวลาปล้น และพากันมาปล้น มีพยานโจทย์ซึ่งเปนพวกเจ้าทรัพย์บางคนว่าจำหน้านายสื่อเวลาปล้นได้ แต่พยานหาได้เคยเห็นหน้านายสื่อจำเลยมาแต่ก่อนไม่ ทั้งพยานเห็นเครื่องแต่งกายนายสื่อก็ต่างกัน เช่นนายเอี๊ยวพยานว่าเห็นนายสื่อนุ่งผ้าพื้นไม่ได้โพกศีสะ แต่นายยิ้วพยานว่าเห็นนายสื่อนุ่งผ้าโสร่ง มีผ้าโพกสีสะ ไม่มีพยานและเหตุผลอื่นประกอบ น่าสงสัยว่าพยานจะจำหมายนายสื่อไม่ได้แม่นยำ ยังฟังไม่สนิธว่านายสื่อจำเลยได้กระทำผิดดังข้อหา ฯ
อาศรัยเหตุนี้ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในข้อที่ให้ปล่อยตัวอ้ายทุ้ยนั้นเสีย ให้ลงโทษจำคุกอ้ายทุ้ยจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ ตอน ๒ ฐานปล้นทรัพย์ และทำร้ายพวกเจ้าทรัพย์บาดเจ็บสาหัสมีกำหนด ๒๐ ปี และให้ใช้ทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลมณฑลนครชัยศรีและให้ปล่อยตัวนายสื่อจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ข้าหลวงพิเศษ ฯ
วันที่ ๘ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓