คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17791/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท จำเลยยืมรถยนต์พิพาทไปและหลอกลวงโจทก์ให้ส่งมอบสำเนาทะเบียนและสำเนาบัตรประชาชนของโจทก์ให้จำเลย แล้วจำเลยกรอกข้อความในแบบคำขอโอนและรับโอนและหนังสือมอบอำนาจและไปโอนรถยนต์พิพาททางทะเบียน ขอให้เพิกถอนการโอนและให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทคืน จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อรถยนต์พิพาทและชำระราคา คดีนี้จึงมีประเด็นว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท ส่วนคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่าปลอมแบบคำขอโอนและรับโอนและหนังสือมอบอำนาจซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว มีประเด็นว่า แบบคำขอโอนและรับโอนและหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ และสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญาที่ว่าแบบคำขอโอนและรับโอนและหนังสือมอบอำนาจไม่ใช่เอกสารปลอมจึงไม่ใช่ประเด็นโดยตรงและชัดแจ้งที่ศาลในคดีส่วนแพ่งจำต้องถือตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน กค 674 สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2548 ให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนรถยนต์หมายเลขทะเบียน กค 674 สุพรรณบุรี และส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวคืนแก่โจทก์ โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนรถยนต์พิพาทและส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ ให้จำเลยชำระราคาแทนเป็นเงิน 1,200,000 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน กค 674 สุพรรณบุรี ระหว่างโจทก์กับจำเลย ให้จำเลยส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวแก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ให้แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยชำระราคาเป็นเงิน 1,123,000 บาท คำขออื่นให้ยก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยนำสืบไม่ขัดแย้งกันฟังได้ในเบื้องต้นว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน กค 674 สุพรรณบุรี อันเป็นรถยนต์คันพิพาทเดิมมีชื่อโจทก์ในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2548 ได้มีการจดทะเบียนโอนเป็นชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น ก็ปรากฏว่าคำพิพากษาของศาลแขวงสุพรรณบุรี คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1769/2548 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานปลอมหนังสือมอบอำนาจและแบบคำขอโอนและรับโอนรถยนต์พิพาทและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว ซึ่งศาลแขวงสุพรรณบุรีพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าการมอบอำนาจให้จำเลยไปดำเนินการโอนรถยนต์พิพาทเป็นชื่อของจำเลยเป็นไปตามความประสงค์ของโจทก์ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม คดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งมีผลทำให้รายการจดทะเบียนโอนรถยนต์เป็นชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทเป็นเอกสารถูกต้องแท้จริงนั้น ก็เป็นการวินิจฉัยในประเด็นว่า หนังสือมอบอำนาจและแบบคำขอโอนและรับโอนรถยนต์เป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ส่วนคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท แต่เมื่อสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญาที่ว่าหนังสือมอบอำนาจและแบบคำขอโอนและรับโอนรถไม่ใช่เอกสารปลอมจึงไม่ใช่ประเด็นโดยตรงและชัดแจ้งที่ศาลในคดีส่วนแพ่งจำต้องถือตาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท

Share