แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่โจทก์จำเลยปฏิบัติต่อกันโดยจัดให้มีบัญชีหนี้ให้มีการหักทอนบัญชีเป็นคราว ๆ คงชำระหนี้ที่เหลือในการหักทอนบัญชีเช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดต่อกันแล้ว
สัญญาบัญชีเดินสะพัดเป็นสัญญาไม่มีแบบ ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๙๕ จำเลยเปิดบัญชีเดินสะพัดกระแสรายวันกับโจทก์ และขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์และยอมเสียดอกเบี้ยที่เบิกเกินบัญชีร้อยละ ๑ บาทต่อเดือน โดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนเพื่อประกันการชำระหนี้ จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนและผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทตำรวจผ่านศึกและนอกประจำการซึ่งมีสิทธิจะได้รับเงินจากกรมทางเป็นค่าจ้างทำงานดินและถางป่าได้ตกลงให้โจทก์เป็นผู้รับเงินเอาเข้าบัญชีเดินสะพัดในวันเปิดบัญชี จำเลยนำเช็คฝากเข้าบัญชีจำนวนเงิน ๘๗,๓๐๐ บาท หลังจากนั้นจนถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๙๖ จำเลยได้จ่ายเช็คเบิกเงินไปจากโจทก์รวมเป็นเงิน ๒,๐๓๘,๕๐๘.๐๕ บาท เมื่อหักทอนบัญชีเดินสะพัดรวมกับดอกเบี้ยทบต้นแล้วปรากฏว่า จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ ๑,๙๐๒,๖๘๘.๑๙ บาท โจทก์ทวงถามหลายครั้งจำเลยไม่ชำระให้เมื่อคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันฟ้อง จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ๕,๒๔๒,๘๖๔.๕๒บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงิน ๕,๒๔๒,๘๖๔.๕๒ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑ บาทต่อเดือน โดยคิดทบต้นเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ตกลงขอเบิกเงินเกินบัญชีในรูปบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ และยอมเสียดอกเบี้ยแก่ธนาคารโจทก์ร้อยละ ๑ บาทต่อเดือนและให้คิดดอกเบี้ยทบต้นเลย จำเลยมอบฉันทะให้โจทก์เป็นผู้รับเงินค่าจ้างสร้างทางเป็นเงินประมาณ ๖,๒๙๑,๒๒๔.๘๐ บาทแทนจำเลย แล้วต่อมาวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๙๕ จำเลยจึงเปิดบัญชีเป็นลูกค้าโจทก์ และนำเงินเข้าบัญชีครั้งแรกเป็นเงิน ๘๗,๓๐๐ บาท เป็นบัญชีฝากเงินกระแสรายวัน หาใช่บัญชีเดินสะพัดไม่ หลังจากนั้นเมื่อจำเลยทราบว่าโจทก์รับเงินค่าจ้างสร้างทางแทนจำเลยแล้ว จำเลยก็ออกเช็คสั่งโจทก์จ่ายเงินเป็นการสั่งจ่ายเงินของจำเลยเอง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย เมื่อหักเงินที่จำเลยนำเข้าบัญชีกับยอกเงินที่จำเลยสั่งจ่ายแล้ว โจทก์จะต้องคืนเงินให้จำเลยอีก ๙๒๑,๒๙๓.๕๐ บาท ขอให้ศาลบังคับให้โจทก์คืนเงิน ๙๒๑,๒๙๓.๕๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะมอบเงินให้จำเลยเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยในฐานะส่วนตัวไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างสร้างทางเป็นเงิน ๖,๒๙๑,๒๒๔.๘๐ บาท จากกรมทางหลวงแผ่นดินและไม่เคยมอบฉันทะให้เป็นผู้รับเงินนี้ โจทก์ไม่เคยเป็นตัวแทนของจำเลยบริษัทตำรวจผ่านศึกและนอกประจำการจำกัด เป็นผู้มอบอำนาจให้โจทก์รับเงินที่บริษัทดังกล่าวจะได้รับจากกรมทางหลวงแผ่นดินตามสัญญาจ้างเหมาและยอมให้โจทก์หักเงินที่รับมาใช้ค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันและชดใช้หนี้อื่น ๆ ซึ่งบริษัทตำรวจผ่านศึกและนอกประจำการจำกัดและจำเลยมีส่วนเกี่ยวพันต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์รับเงินจากกรมทางหลวงแผ่นดินแทนบริษัทตำรวจผ่านศึกและนอกประจำการ จำนวน ๒,๓๑๖,๖๑๒.๔๑ บาท มิใช่ ๒,๖๔๘,๔๗๓.๓๙ บาท ตามคำให้การของจำเลย เงินที่จำเลยอ้างว่าของจำเลยมีเหลืออยู่ที่โจทก์ไม่เป็นความจริง แท้จริงจำเลยยังเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้อง โจทก์รับเงินแทนบริษัทตำรวจผ่านศึกฯ จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งเรียกเงินคืนจากโจทก์ ทั้งฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม และฟังว่าโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาเปิดบัญชีเดินสะพัดต่อกันโจทก์รับเงินจากกรมทางหลวงแผ่นดินในนามบริษัทตำรวจผ่านศึกไม่ใช่ในฐานะตัวแทนจำเลย จำเลยไม่มีสิทธิที่จะให้โจทก์เอาเงินที่รับมาหักกับยอดเงินเกินบัญชีของจำเลยได้ จำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามบัญชีพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕,๒๔๒,๘๖๔.๕๒ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ๑ บาทต่อเดือน โดยคิดทบต้นเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายทองย้อยจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าว่าคดีชั้นอุทธรณ์ฎีกาแทนจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน ๔,๔๗๖,๙๔๕ บาท ๗๕ สตางค์แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑ บาทต่อเดือนตั้งแต่วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๐๓ จนกว่าจะชำระเสร็จ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญากับกรมทางหลวงฯ แทนบริษัทตำรวจผ่านศึกฯ พฤติการณ์ที่โจทก์และจำเลยตกลงปฏิบัติต่อกันโดยจัดให้มีบัญชีหนี้ ให้มีการหักทอนบัญชีเป็นคราว ๆ คงชำระหนี้ที่เหลือในการหักทอนบัญชีเช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดต่อกันแล้ว ซึ่งบัญชีเดินสะพัดนี้เป็นสัญญาไม่มีแบบ เพียงแต่คู่กรณีแสดงเจตนามีคำเสนอและคำสนองตรงกัน ก็เกิดเป็นสัญญามีผลผูกมัดกันได้โดยไม่จำต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือดังจำเลยต่อสู้
พิพากษายืน