คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ครายพิพาทจากจำเลยในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย โดยโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทให้แก่ ส. เพื่อเป็นประกันหนี้โดย ส. รับเหมาช่วงงานจากจำเลยไปทำ และต่อมา ส. ทิ้งงานนั้นแล้วยักยอกเอาเช็คนั้นไปให้โจทก์ โจทก์ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริตเนื่องจากการฉ้อฉลของ ส. เพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ส. อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ให้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อให้ได้เงินมาแบ่งปัน จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ตามคำให้การจำเลยดังกล่าว จำเลยยืนยันแต่เพียงว่า ส. ฝ่ายเดียวฉ้อฉล หาได้ยืนยันว่าโจทก์ร่วมฉ้อฉลด้วยไม่แม้จะมีข้อความทำนองว่า ส. สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ จำเลยก็กล่าวแต่เพียงว่า ส. อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งแปลได้ว่า ส. อาจไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ก็ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวแล้วจึงคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามในระหว่างพิจารณา จำเลยก็แถลงว่าเช็ครายพิพาทจะตกไปอยู่ที่โจทก์อย่างไรจำเลยไม่ทราบ ดังนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ในคำให้การนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้วการที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายในเช็ครายพิพาทซึ่งจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงไม่ได้รับเงินตามเช็ค ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยที่ ๑ ออกเช็ครายพิพาทให้แก่นายสอาด สิทธิคู เป็นประกันหนี้ที่นายสอาดรับเหมาช่วงการก่อสร้างอาคารไปจากจำเลยที่ ๑ โดยตกลงกันว่า เมื่อนายสอาดทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องนำเช็คมาขอรับเงินจากจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๑ จะจ่ายเป็นงวด ๆ ตามผลงาน นายสอาดรับเงินไปกว่าจำนวนงานที่ทำแล้วทิ้งงานหลบหนีไปและได้ยักยอกเช็ครายพิพาทไปให้โจทก์ โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริต เนื่องจากการฉ้อฉลของนายสอาดนายสอาดอาจสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ให้โจทก์ฟ้องจำเลยเอาเงินแบ่งกันเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว เพราะกระทำในกิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้น โจทก์แถลงรับว่าเช็คพิพาท จำเลยสั่งจ่ายให้นายสอาด สิทธิคู เช็คพิพาทจะตกไปอยู่ที่โจทก์อย่างไร จำเลยไม่ทราบ จำเลยรับว่าโจทก์เคยมาทวงเงินตามเช็คก่อนฟ้องจำเลยว่าออกเช็ครายพิพาทให้นายสอาด สิทธิคู เป็นประกันการชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับนายสอาด สิทธิคู จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์รับว่าที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นความจริง
ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ครายพิพาทจากจำเลยในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย โดยโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทให้แก่นายสอาด สิทธิคู เพื่อเป็นประกันหนี้ โดยนายสอาดรับเหมาช่วงงานจากจำเลยไปทำและต่อมานายสอาดทิ้งงานนั้น แล้วยักยอกเอาเช็คนั้นไปให้โจทก์ โจทก์ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริต เนื่องจากการฉ้อฉลของนายสอาด เพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม นายสอาดอาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ให้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อให้ได้เงินมาแบ่งกัน จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ตามคำให้การจำเลยดังกล่าวจำเลยยืนยันแต่เพียงว่านายสอาดฝ่ายเดียวฉ้อฉล หาได้ยืนยันว่าโจทก์ร่วมฉ้อฉลด้วยไม่ แม้จะมีข้อความทำนองว่านายสอาดสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ จำเลยก็กล่าวแต่เพียงว่านายสอาดอาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งแปลได้ว่านายสอาดอาจไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ก็ได้คำให้การของจำเลยดังกล่าวแล้วจึงคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามในระหว่างพิจารณา จำเลยก็แถลงว่าเช็ครายพิพาทจะตกไปอยู่ที่โจทก์อย่างไร จำเลยไม่ทราบ ดังนี้คดีจึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ในคำให้การนั้นได้แต่อย่างไรก็ตามโจทก์ยอมรับว่าเช็ครายพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยออกให้แก่นายสอาดเป็นประกันการชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับนายสอาดเท่านั้นและคดีได้ความว่า นายสอาดได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญาก่อสร้างจ้างเหมากับนายสอาดก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกัน จึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับนายสอาดแล้ว การที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่นายสอาดตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
พิพากษายืน

Share