คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1767/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่าโจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาแผนที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ด้วยดังนั้นการรังวัดแบ่งที่พิพาท จึงต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวโดยอาศัยแผนที่พิพาทเป็นหลักในการรังวัด สัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า จำเลยยอมแบ่งแยกที่ดินพิพาทตามเส้นประสีม่วงทั้งหมด กับส่วนที่เป็นเครื่องหมาย////// ที่ปรากฏในแผนที่พิพาทแก่โจทก์ แต่มิได้กำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความให้ชัดว่าจะต้องวัดจากตรงจุดใดของเครื่องหมายดังกล่าว ทั้งมิได้กำหนดว่าต้องวัดจากทางทิศใดไปทิศใดและมีความยาวเท่าใด ครั้นโจทก์จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดตามคำสั่งศาล จึงปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้กันที่ดินส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของที่พิพาทไว้เป็นทางสาธารณประโยชน์ โจทก์จึงนำรังวัดจากจุดที่เจ้าพนักงานที่ดินกันไว้ไปทางทิศเหนือ มีความยาว 15.16 เมตรเป็นเหตุให้จำเลยไม่ยินยอม ศาลชั้นต้นนัดโจทก์จำเลยมาสอบถามโจทก์ยอมรับว่าได้นำเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดจากจุดดังกล่าวซึ่งไม่ตรงตามแผนที่พิพาทจริง และโจทก์จำเลยยอมรับกันว่าความจริงต้องวัดจากจุดซึ่งเป็นเสาหน้าบ้านต้นแรกซึ่งอยู่ริมทางสาธารณประโยชน์ไปทางทิศเหนือ 15.16 เมตร และโจทก์จำเลยได้ตกลงกันนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดใหม่ให้ตรงตามแผนที่พิพาทข้อตกลงของโจทก์จำเลยเช่นนี้เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการเน้นเพื่อให้ทราบแน่ว่าการรังวัดใหม่จะต้องเริ่มวัดจากจุดใดไปทางทิศใดและมีความยาวเท่าใด ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นนัดโจทก์จำเลยมาสอบถามและตกลงกันดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการทำความเข้าใจระหว่างโจทก์จำเลยให้ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงในสัญญาประนีประนอมยอมความหาใช่เป็นข้อตกลงใหม่หรือเพิ่มเติมแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมแล้วไม่ และแม้เจ้าพนักงานที่ดินได้กันที่ดินทางด้านทิศใต้ไว้เป็นทางสาธารณประโยชน์อย่างไรก็ไม่ผูกพันคู่ความคดีนี้และไม่มีผลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาคดีไปตามยอมแล้วได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินตามตราจองที่ฟ้องตามเส้นประสีม่วงทั้งหมดกับส่วนที่เป็นเครื่องหมาย///////ซึ่งจำเลยนำชี้ว่าโจทก์ปลูกบ้านรุกล้ำตามแผนที่พิพาท ฉบับลงวันที่ 29 สิงหาคม2530 เพื่อโอนขายให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้ยื่นคำขอแบ่งแยกเพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและช่างแผนที่ได้รังวัดเสร็จแล้ว แต่จำเลยขอให้เจ้าพนักงานที่ดินระงับการจดทะเบียนไว้ ขอให้ศาลหมายเรียกตัวจำเลยมาสอบถามข้อเท็จจริง เพื่อจะได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้เสร็จสิ้นไป ครั้นถึงวันนัดคู่ความแถลงว่าในการรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทนั้น เจ้าพนักงานที่ดินได้กันที่ดินส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของที่พิพาทไว้เป็นทางสาธารณประโยชน์ แล้วโจทก์นำรังวัดจากจุดที่เจ้าพนักงานที่ดินกันไว้ไปทางทิศเหนือ 15.16 เมตร ซึ่งไม่ตรงกับแผนที่พิพาทที่ระบุว่าจะต้องวัดจากจุดที่เป็นเสาหน้าบ้านต้นแรกซึ่งอยู่ริมทางสาธารณประโยชน์ไปทางเสาหลังบ้าน เป็นระยะ 15.16 เมตร คู่ความจึงตกลงกันนำเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดใหม่ให้ตรงตามแผนที่พิพาทคือจะต้องวัดจากเสาหน้าบ้านโจทก์ต้นแรกเข้าไปทางเสาหลังบ้านทางทิศเหนือ15.16 เมตร ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้คู่ความไปดำเนินการตามข้อตกลงและนัดพร้อมใหม่ เมื่อถึงวันนัดพร้อม ศาลชั้นต้นสอบถามนายองอาจบุญรังสี นายช่างรังวัด 4 สำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี ซึ่งโจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกมาด้วยได้ความว่า ได้ทำการรังวัดโดยวัดจากเขตตราจองที่พิพาททางด้านทิศใต้ซึ่งอยู่ติดกับถนนสาธารณประโยชน์ทั้งสองหลัก และวัดเข้าไปเป็นระยะทาง 15.16 เมตร ตามคำพิพากษาตามยอมศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า การรังวัดของนายองอาจ บุญรังสีถูกต้องตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว ให้มีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อดำเนินการจดทะเบียนแบ่งขายให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความต่อไปจำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า จุดเริ่มต้นที่จะทำการรังวัดที่พิพาทตามเครื่องหมาย////// ในแผนที่พิพาทฉบับลงวันที่ 29 สิงหาคม 2530ทางด้านทิศตะวันตกจากด้านทิศใต้ขึ้นไปทางทิศเหนือให้ได้ความยาว15.16 เมตรนั้น จะต้องเริ่มวัดจากเสาหน้าบ้านต้นแรกไปทางทิศเหนือให้ได้ความยาว 15.16 เมตร ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ เห็นว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 ระบุไว้ว่าโจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาแผนที่พิพาทฉบับลงวันที่ 29 สิงหาคม 2530 เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ด้วยดังนั้นการรังวัดแบ่งที่พิพาทจึงต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวโดยอาศัยแผนที่พิพาทเป็นหลักในการทำการรังวัด และตามข้อ 1 ในสัญญาประนีประนอมยอมความระบุไว้ชัดว่าจำเลยยอมแบ่งแยกที่ดินพิพาทตามเส้นประสีม่วงทั้งหมด กับส่วนที่เป็นเครื่องหมาย////// ที่ปรากฏในแผนที่พิพาทดังกล่าวให้แก่โจทก์แต่มิได้กำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความให้ชัดว่าจะต้องวัดจากตรงจุดใดของเครื่องหมาย////// ที่เขียนไว้ในแผนที่พิพาท ทั้งมิได้กำหนดไว้อีกด้วยว่าต้องวัดจากทางทิศใดไปทิศใดและมีความยาวเท่าใดครั้นโจทก์และจำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดตามคำสั่งศาลจึงปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้กันที่ดินส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของที่พิพาทไว้เป็นทางสาธารณประโยชน์ โจทก์จึงนำรังวัดจากจุดที่เจ้าพนักงานที่ดินกันไว้ไปทางทิศเหนือ มีความยาว 15.16 เมตรเป็นเหตุให้จำเลยไม่ยอมตามที่โจทก์นำชี้ให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดจากจุดดังกล่าวในที่สุดศาลชั้นต้นได้นัดโจทก์จำเลยมาสอบถามโจทก์ก็ยอมรับว่าโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดจากจุดดังกล่าวซึ่งไม่ตรงตามแผนที่พิพาทจริง และปรากฏว่าโจทก์และจำเลยยอมรับกันว่าความจริงต้องวัดจากจุดซึ่งเป็นเสาหน้าบ้านต้นแรกซึ่งอยู่ริมทางสาธารณประโยชน์ไปทางทิศเหนือ 15.16 เมตร และโจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดใหม่ให้ตรงตามแผนที่พิพาทคือวัดจากเสาหน้าบ้านต้นแรกเข้าไปทางเสาหลังบ้านทางทิศเหนือ 15.16 เมตร ข้อตกลงของโจทก์และจำเลยดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการเน้นเพื่อให้รู้แน่ว่าการที่จะให้เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดใหม่นี้จะต้องเริ่มวัดจากตรงจุดใดไปทางทิศใดและมีความยาวเท่าใด ทั้งนี้เพราะตอนทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้กำหนดหรือระบุไว้ให้ชัด จึงได้เกิดปัญหาขึ้นมาดังกล่าว ฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นนัดโจทก์และจำเลยมาสอบถามและตกลงกันดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการทำความเข้าใจระหว่างโจทก์กับจำเลยเพื่อให้ถูกต้องและตรงต่อความเป็นจริงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมไว้ หาใช่เป็นข้อตกลงขึ้นใหม่หรือเพิ่มเติมแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อหน้าศาลและศาลได้พิพากษาคดีตามยอมแล้วดังกล่าวข้างต้นไม่ อีกทั้งโจทก์เองก็ยอมรับว่าการชี้จุดให้เจ้าพนักงานที่ดินเริ่มทำการรังวัดนั้นไม่ตรงกับแผนที่พิพาทและยังทราบดีอีกว่าการรังวัดจะต้องวัดจากจุดซึ่งเป็นเสาหน้าบ้านต้นแรกและอยู่ริมทางสาธารณประโยชน์ไปทางเสาหลังบ้าน และศาลชั้นต้นได้ถือว่าถูกต้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 23 มกราคม 2533 ที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ การตกลงของโจทก์จำเลยดังกล่าวนี้จึงมิใช่ข้อตกลงที่แตกต่างไปจากข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ต่อหน้าศาลวิ่งศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมไปแล้วคู่ความจึงต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตรงต่อความจริงที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวนั้น แม้จะปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้กันที่ดินทางด้านทิศใต้ไว้เป็นทางสาธารณประโยชน์อย่างไรก็ไม่ผูกพันคู่ความคดีนี้และไม่มีผลที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมไปแล้ว
พิพากษากลับว่า ให้โจทก์จำเลยนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดใหม่ โดยส่วนที่เป็นเครื่องหมาย////// ให้เริ่มวัดจากเสาหน้าบ้านต้นแรกทางด้านทิศใต้ไปทางด้านทิศเหนือมีความยาว 15.16 เมตรเพื่อให้ถูกต้องและเป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ

Share