คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1767/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ช.เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด น. เมื่อ ช. ถึงแก่กรรม ห้าง น. ย่อมเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1054 (5), 1080 เว้นแต่จะมีผู้รับมรดกของ ช.เข้าสวมสิทธิในหุ้นส่วนนั้นดำเนินกิจการต่อไปตามเดิม (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 539/2518) และเมื่อห้าง น.เลิกกันก็ต้องตั้งผู้ชำระบัญชีสะสางการงานของห้าง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 351/2507) ในกรณีนี้ผู้ชำระบัญชีมีอำนาจฟ้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับกิจการของห้างทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาตามมาตรา 1257 (1)
เมื่อ ช. ถึงแก่กรรมและโจทก์ได้รับเป็นผู้จัดการมรดกของ ช.ตามคำสั่งของศาลแล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินจึงได้มีคำสั่งประเมินภาษีเงินได้ของห้าง น. สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีก่อน ช. ถึงแก่กรรม แล้วแจ้งการประเมินไปยังโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ช. และผู้ชำระบัญชีของห้าง น. ให้ชำระภาษีเงินได้ของห้างเพิ่ม ดังนี้ คำสั่งดังกล่าวเป็นการประเมินภาษีเงินได้ของห้าง น. ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจาก ช. จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิกองมรดกของ ช. แต่เป็นการโต้แย้งสิทธิของห้าง น. โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4
ประมวลรัษฎากรมาตรา 18 ซึ่งบัญญัติถึงกรณีผู้ต้องเสียภาษีอากรถึงแก่ความตายเสียก่อน ให้แจ้งจำนวนภาษีที่ประเมินไปยังผู้จัดการมรดกหรือทายาท ผู้หรือผู้ครอบครองมรดกนั้นจะนำมาใช้บังคับในกรณีตามวรรคก่อนไม่ได้ เพราะกรณีตามวรรคก่อนห้าง น. เป็นผู้ต้องเสียภาษีอากรหาใช่ ช. ไม่ และแม้จำเลยที่ 1 จะแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินของห้าง น. ไปยังโจทก์ และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิกองมรดกของ ช. อันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายชูศักดิ์ ก่อนนายชูศักดิ์ตายนายชูศักดิ์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดนครพนมเลี่ยงกี่สโตร์ จำเลยที่ ๑ ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้จากห้างฯ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ ๑ ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คือ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ซึ่งมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้ศาลพิพากษายกเลิกเพิกถอน
จำเลยให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้วด้วยกฎหมาย และหากโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายชูศักดิ์ก็เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างโจทก์กับนายชูศักดิ์ไม่เกี่ยวกับห้างฯ โจทก์ไม่ใช่ผู้แทนของห้างฯ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงกับนางประการ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง การประเมินภาษีและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้เพิกถอน
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด นครพนมเลี่ยงกี่โสตร์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ นายชูศักดิ์เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายชูศักดิ์ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๑๖ เห็นว่า เมื่อนายชูศักดิ์หุ้นส่วนผู้จัดการถึงแก่กรรมห้างหุ้นส่วนจำกัดนครพนมเลี่ยงกี่โสตร์เป็นอันยกเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๕๕ (๕) , มาตรา ๑๐๘๐ เว้นแต่จะมีผู้รับมรดกของนายชูศักดิ์เข้าสวมสิทธิในหุ้นส่วนนั้นดำเนินกิจการต่อไปตามเดิมเทียบเคียมคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๙/๒๕๑๘ ระหว่างพันตรีโสภณ เกิดนุ่ม โจทก์ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลอู่กรุงธนกับพวก จำเลย และเมื่อห้างฯ เลิกกันก็ต้องตั้งผู้ชำระบัญชีสะสางการงานของห้างตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๑/๒๕๐๗ คดีระหว่างธนาคารกรุงเทพ จำกัด โดยนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ กรรมการโจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่ชัย โดยนายซ่งเกียง แซ่อื้อ ผู้จัดการจำเลย ในกรณีนี้ผู้ชำระบัญชีมีอำนาจฟ้องหรือต่อสู้คดีเกี่ยวกับกิจการของห้างฯ ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๕๙ (๑) หนี้ภาษีอากรรายพิพาทเป็นหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดนครพนมเลี่ยงกี่สโตร์ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมิใช่เป็นหนี้ส่วนตัวของนายชูศักดิ์คำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่มีไปถึงโจทก์เป็นคำสั่งที่ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดนครพนมเลี่ยงกี่สโตร์ชำระภาษีอากร ดังนี้ แม้นายชูศักดิ์จะเป็นห้างหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของห้างฯ และกองมรดกของนายชูศักดิ์อาจต้องรับผิดในหนี้สินของห้างฯ ก็ตามแต่คำสั่งดังกล่าวก็เป็นการประเมินภาษีอากรของห้างฯ ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากนายชูศักดิ์ จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของกองมรดกนายชูศักดิ์ หากแต่เป็นการโต้แย้งสิทธิของห้างหุ้นส่วนจำกัดนครพนมเลี่ยงกี่สโตร์ โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกนายชูศักดิ์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่โจทก์ฎีกาว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๓ บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้ต้องเสียภาษีอากรถึงแก่ความตายเสียก่อนได้รับแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินให้อำเภอหรือเจ้าพนักงานประเมินแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังผู้จัดการมรดกหรือไปยังทายาท หรือผู้อื่นที่ครอบครองทรัพย์มรดกแล้วแต่กรณี ฯ” จำเลยที่ ๑ มีหนังสือแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินไปยังโจทก์ โจทก์จึงอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒, ที่ ๓ ที่ ๔ ยอมรับอุทธรณ์แล้วมีคำสั่งยกอุทธรณ์ถือว่า โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธินั้น เห็นว่ากรณีนี้ห้างหุ้นส่วนจำกัดนครพนมเลี่ยงกี่สโตร์ต่างหากเป็นผู้ต้องเสียภาษีอากรหาใช่นายชูศักดิ์ผู้ตายไม่ จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายชูศักดิ์ยังไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรดังกล่าว จะนำบทบัญญัติมาตรา ๑๘ ที่แก้ไขแล้วมาใช้บังคับไม่ได้ แม้จำเลยที่ ๑ จะมีหนังสือแจ้งจำนวนภาษีอากรที่ประเมินของห้างหุ้นสวนจำกัดนครพนมเลี่ยงกี่สโตร์ไปยังโจทก์และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ยอมรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ โดยมิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิกองมรดกของนายชูศักดิ์อันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง ไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อที่ว่า คำสั่งประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share