คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1761/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยร้องเรียนกล่าวโทษโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชาว่าโจทก์กับหญิงอื่นมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ต่อกันเป็นเหตุให้โจทก์ถูกลงโทษทางวินัยนั้น เห็นว่าจำเลยซึ่งเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ ย่อมมีความชอบธรรม ที่จะป้องกันหรือขัดขวางมิให้โจทก์กับหญิงอื่นมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ต่อกันอันเป็นเหตุให้ครอบครัวเดือดร้อนได้ การกระทำของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(2).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 2 คน จำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากับโจทก์อย่างร้ายแรงกล่าวคือ จำเลยได้หมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์ โดยกล่าวหาว่าโจทก์ประพฤติตนทางชู้สาวกับเพื่อนร่วมงานเป็นการหมิ่นประมาทหรือเหยียบหยามโจทก์ถือว่าจำเลยประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง โจทก์ต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวน ถูกสั่งให้ระงับการขึ้นเงินเดือนและไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ขอให้โจทก์และจำเลบยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน โดยบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนการหย่า ณ ที่ว่าการเขตพระนครกรุงเทพมหานคร ถ้าจำเลยไม่ไปขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้บุตรทั้งสองอยู่ในความปกครองดูแลของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ประพฤติเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาแต่อย่างใด จำเลยไม่เคยหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์โจทก์มีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นและทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับจำเลยเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยโดยชอบ จำเลยจึงนำความไปร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์ จนกระทั่งมีการสอบสวนโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ถูกตัดเงินเดือนร้อยละสิบ เป็นเวลา 2 เดือน การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาแต่เพียงว่าการที่จำเลยร้องเรียนกล่าวโทษโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชาเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามนัยแห่งบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (2) หรือไม่ ส่วนเหตุฟ้องหย่าฐานกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงตามที่โจทก์ฟ้องมาด้วยนั้น โจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียงให้ชัดแจ้งจึงไม่จำต้องวินิจฉัย ได้พิจารณาหนังสือร้องเรียนตามเอกสารหมาย จ.2 แล้วมีใจความสำคัญว่าจำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์มีบุตรด้วยกัน 3 คน (ถึงแก่กรรมแล้ว 1 คน) เคยอยู่กินร่วมกันอย่างปกติสุข แต่ปัจจุบันครอบครัวของจำเลยอยู่ในสภาพบ้านแตกเพราะโจทก์ได้ไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนางเกษร บุญมีลาภ ซึ่งรับราชการเป็นครูโรงเรียนเดียวกันกับโจทก์ ไม่ยอมรับคำตักเตือนจากผู้ใดตั้งแต่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วโจทก์ขาดความรับผิดชอบต่อครอบครัวทุกประการ จำเลยกับบุตรได้รับความเสียหายขอให้สอบสวนลงโทษบุคคลทั้งสองฐานกระทำผิดวินัยเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่จำเลยและจำเลยมีนางสาววรรณี สุนทรเวช ผู้อำนายการโรงเรียนดาราคามมาเบิกความเป็นพยานว่า ในตอนแรกจำเลยเพียงแต่พูดปรับทุกข์ว่าการกระทำของโจทก์กับนางเกษรทำให้ครอบครัวของจำเลยเดือดร้อนขอให้ช่วยตักเตือนบุคคลทั้งสอง นายกลึง พรหมสุวรรณ พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการเบิกความรับข้อเท็จจริงตามกันว่าก่อนจำเลยจะร้องเรียนกล่าวโทษโจทก์นั้น จำเลยเคยขอให้ตักเตือนโจทก์เรื่องที่โจทก์มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนางเกษร พยานเคยเรียกโจทก์มาตักเตือน แต่เรื่องก็ยังไม่ยุติ จึงฟังได้ว่า จำเลยนำวิธีการที่เบากว่าการร้องเรียนกล่าวโทษมาใช้แล้วแต่ไม่ได้ผลเห็นว่าจำเลยเป็นภริยาดดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ ย่อมมีความชอบธรรมที่จะป้องกันหรือขัดขวางมิให้โจทก์กับหญิงอื่นมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวต่อกันอันเป็นเหตุให้ครอบครัวเดือดร้อนได้ประกอบกันเรื่องที่จำเลยร้องเรียนนั้นมีมูล ดังจะเห็นได้ว่าหลังจากมีการสอบสวนพยานหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องที่ร้องเรียนแล้วสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติได้มีความเห็นว่าโจทก์กับนางเกษรมีพฤติการณ์ที่เป็นการกระทำผิดวินัย ตามมาตรา 81 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 กรณีกระทำการซึ่งอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน ลงโทษภาคทัณฑ์ และกระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งให้เพิ่มโทษโดยให้ตัดเงินเดือนของบุคคลทั้งสอง การกระทำของจำเลยจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น…”
พิพากษายืน.

Share