คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1759/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนผู้บริหารสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอบันนังสตาซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ในนามคณะกรรมการกองทุนดังกล่าว แม้ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจะระบุคณะกรรมการกองทุนผู้บริหารสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอบันนังสตาเป็นผู้กู้โดยมีจำเลยเป็นผู้ลงนามในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุน แต่เมื่อคณะกรรมการกองทุนดังกล่าวไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายที่จะสามารถรับผิดต่อโจทก์ในฐานะบุคคลภายนอกสำหรับกิจการที่จำเลยกระทำไปตามที่บัญญัติไว้ในป.พ.พ. มาตรา 820 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเข้าทำสัญญาแทนตัวการที่มีตัวอยู่จริง จำเลยจึงต้องรับผิดตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามลำพัง
การที่สัญญากู้ยืมเงินไม่ได้กำหนดเรื่องอัตราดอกเบี้ยไว้เพียงแต่กำหนดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือนจนกว่าจะชำระต้นเงินแก่โจทก์จนครบถ้วน โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 7 แม้ว่าหลังจากทำสัญญากู้ยืมเงินกันแล้วจำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ก็เป็นการชำระดอกเบี้ยตามอำเภอใจโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ จำเลยจึงหามีสิทธิจะได้รับดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้วคืนไปไม่ แต่เมื่อสัญญากู้ยืมเงินมิได้กำหนดเวลาให้จำเลยใช้คืนเงินที่กู้ยืมและไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวแก่จำเลยให้คืนเงินดังกล่าวภายในเวลาอันควรที่กำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 652 จึงไม่อาจถือว่าวันหลังจากที่จำเลยชำระดอกเบี้ยสำหรับเดือนสุดท้ายให้แก่โจทก์เป็นวันที่จำเลยผิดนัด แต่ต้องถือว่าจำเลยผิดนัดและต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินที่กู้ยืม พร้อมดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหเสร็จ
จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้อง ความจริงแล้วโจทก์นำเงินไปลงหุ้นในกองทุนสวัสดิการ ผู้บริหารสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอบันนังสตา โดยได้รับผลประโยชน์เป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือน จำเลยลงชื่อผู้กู้ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินในฐานะเป็นประธานกรรมการของกองทุนฯ ไม่ใช่ฐานะส่วนตัว จึงไม่ต้อง รับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว โจทก์เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ จนถึงวันชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑) ต้องไม่เกิน ๑,๔๒๐ บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๔๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนผู้บริหารสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอบันนังสตาซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารหมาย จ.๑ ในนามคณะกรรมการกองทุนดังกล่าว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า จำเลยต้องรับผิดตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.๑ หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.๑ จะระบุคณะกรรมการกองทุนผู้บริหารสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอบันนังสตาเป็นผู้กู้โดยจำเลยเป็นผู้ลงนามในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนดังกล่าว แต่เมื่อคณะกรรมการกองทุนดังกล่าวไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายที่จะสามารถรับผิดต่อโจทก์ในฐานะบุคคลภายนอกสำหรับกิจการที่จำเลยกระทำไปดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๐ จึงถือไม่ได้ว่า จำเลยเข้าทำสัญญาแทนตัวการที่มีตัวอยู่จริง ดังนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.๑ ตามลำพัง ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกว่า โจทก์ไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยได้เนื่องจากข้อสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยเป็นโมฆะเพราะโจทก์เรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือนเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารหมาย จ.๑ ไม่ได้กำหนดเรื่องอัตราดอกเบี้ยไว้เพียงแต่กำหนดให้จำเลยชำระดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือนจนกว่าจะชำระต้นเงินแก่โจทก์จนครบถ้วน โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่าหลังจากทำสัญญากู้ยืมเงินกันแล้ว จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือน ถ้าเป็นการชำระดอกเบี้ยตามอำเภอใจโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ จำเลยหามีสิทธิจะได้รับดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้วคืนไปไม่ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารหมาย จ.๑ มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยใช้คืนเงินที่กู้ยืมและไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวแก่จำเลยให้คืนเงินดังกล่าวภายในเวลาอันควรที่กำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๒ จึงไม่อาจถือว่าวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันหลังจากที่จำเลยชำระดอกเบี้ยสำหรับเดือนสุดท้ายให้แก่โจทก์เป็นวันที่จำเลยผิดนัด กรณีนี้ถือว่าจำเลยผิดนัดและต้องเสียดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยให้จำเลยชำระอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้อง คือ วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๑ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๙

Share