คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1754/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ยอมความว่า จำเลยยอมไปอยู่กินกับโจทก์ที่บ้านโจทก์โดยลำพังนับแต่วันจดทะเบียนสมรสไม่ได้ระบุว่าต้องอยู่ที่เรือนใหญ่โจทก์ปลูกเรือนเพื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังอีกหลังหนึ่ง เป็นการตรงตามสัญญายอมแล้ว จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสและไปอยู่กับโจทก์ผิดสัญญายอม โจทก์ยึดทรัพย์ใช้ค่าเสียหายตามยอมได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดบังคับคดี จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหาว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ข้อนี้ตามทางไต่สวนได้ความว่าเหตุขัดข้องที่ไม่จดทะเบียนสมรส เพราะมารดาโจทก์ไม่ยอมลงจากเรือนใหญ่ให้อยู่หลังเล็กไม่สมหน้าตา พิเคราะห์สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ซึ่งมีข้อความว่า”จำเลยที่ 1 ยอมไปอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยากับโจทก์ที่ 1 ที่บ้านโจทก์ที่ 1โดยลำพังนับแต่วันจดทะเบียนสมรส” เห็นว่าข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุลงไปว่า จำเลยที่ 1 จะอยู่กับโจทก์ที่ 1 โดยลำพังที่เรือนหลังใหญ่ซึ่งเป็นของมารดาโจทก์ ตามเจตนาในสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 1เพียงต้องการจะอยู่กินกับโจทก์ที่ 1 โดยลำพังไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยเท่านั้น มิได้ระบุเจาะจงว่าต้องเป็นเรือนหลังใหญ่ฝ่ายโจทก์จึงไปสร้างเรือนขึ้นใหม่อีกหลังหนึ่งเพื่อให้จำเลยที่ 1 อยู่กินกับโจทก์ที่ 1 โดยลำพัง ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ยอมไปอยู่และไม่ยอมจดทะเบียนสมรส ฝ่ายจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ”

พิพากษายืน

Share