คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สถานที่เกิดเหตุเป็นสารสำคัญที่โจทก์จะต้องกล่าวบรรยายมาในฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องเพราะฟ้องโจทก์ขาดรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่เกิดการกระทำผิด ย่อมเห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่า การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยได้กระทำผิด ณ สถานที่ใดจึงถือว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไป แม้โจทก์จะยื่นฟ้องใหม่ก่อนอุทธรณ์คดีนั้น ก็ไม่ทำให้เกิดสิทธิที่จะฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ปืนยิงฆ่านายสะอุโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและพยายามฆ่านายดือรอแม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289, 80, 83

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธและตัดฟ้องว่า เป็นฟ้องซ้ำ เพราะมูลคดีนี้ศาลได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ไปแล้ว คดีมูลสาเหตุและจำเลยเป็นคนเดียวกัน

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 575/2519 จำเลยเป็นคนเดียวกัน แม้คดียังอยู่ในระหว่างระยะเวลาที่อุทธรณ์ฎีกาได้ก็ตาม ก็ถือว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 575/2519 อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลคนเดียวกัน และความผิดที่จำเลยต้องหาเป็นรายเดียวกันกับคดีนี้ ฟ้องคดีนี้จึงซ้อนกับคดีแรก กรณีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้อีกพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 575/2519ของศาลชั้นต้น ยังมิได้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้ก่อนที่โจทก์จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ว่าโจทก์ไม่ได้ระบุสถานที่เกิดเหตุเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้อง เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2519 ถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2519โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยใหม่ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำในวันเดียวกัน ต่อมาโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นทั้งสองเรื่อง โจทก์ฟ้องคดีใหม่ก่อนที่โจทก์จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีแรก ฟ้องโจทก์มิได้ฟ้องซ้ำ เพราะเหตุฟ้องโจทก์บกพร่องไม่ได้ระบุสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาสาระของความผิดจึงถือไม่ได้ว่าศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องโจทก์ยังมีสิทธิที่จะนำคดีดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลได้อีก

ศาลฎีกาเห็นว่า สถานที่เกิดเหตุเป็นสารสำคัญที่โจทก์จะต้องกล่าวบรรยายมาในฟ้อง เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 บังคับว่า ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือและมี ฯลฯ รายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิด ฯลฯ พอสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดี การที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องเพราะฟ้องโจทก์ขาดรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่เกิดการกระทำผิด ย่อมเห็นได้อยู่ในตัวแล้วว่า การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องไม่ปรากฏแน่ชัดว่า จำเลยได้กระทำผิด ณ สถานที่ใด จึงถือว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) แม้โจทก์จะยื่นฟ้องใหม่ก่อนอุทธรณ์คดีนั้น ก็ไม่ทำให้เกิดสิทธิที่จะฟ้อง

พิพากษายืนในผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share