แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในความดูแลของสุขาภิบาล สุขาภิบาลแจ้งให้จำเลยรื้อถอนออกไป จำเลยทราบแล้วไม่ยอมรื้อและไม่ยอมออกไป จำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะบุกรุกที่ดินของรัฐ เป็นความผิดตั้งแต่นั้นต่อเนื่องกันตลอดไปตราบเท่าที่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินรวมทั้งเวลากลางคืนตามมาตรา 365 (3) ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า  เมื่อระหว่างวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๑๘  ถึงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๑๙   เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกัน  จำเลยบังอาจบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างอาคารร้านค้าและที่อยู่อาศัยในที่ดินของรัฐในความครอบครองดูแลรักษาของสุขาภิบาลปาดังเบซาร์    ทั้งนี้เพื่อถือการครอบครองที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของสุขาภิบาลปาดังเบซาร์โดยปกติสุข  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕ (๓)
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า  จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๖๕ (๓)  ปรากฏว่าบ้านของจำเลยใช้วัสดุก่อสร้างไม่ถาวรและมีเนื้อที่เล็กน้อยเห็นควรลงโทษสถานเบา  ลงโทษปรับ ๒,๐๐๐ บาท  หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๒๙, ๓๐
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว  ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบ้านจำเลยอาศัยปลูกอยู่ในที่ดินของรัฐ  ซึ่งอยู่ในความดูแลของสุขาภิบาลปาดังเบซาร์  สุขาภิบาลปาดังเบซาร์ได้แจ้งให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปแล้ว  แต่จำเลยยังไม่ยอมรื้อ  มีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดทางอาญาฐานบุกรุกดังฟ้องหรือไม่  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเข้าไปอยู่ในที่พิพาทนั้น  ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่  จำเลยเองก็ว่าไม่ทราบว่าเป็นที่ดินของใคร  เพิ่งมาทราบภายหลังว่าที่ดินเป็นของรัฐ  การที่จำเลยเข้าไปอยู่ในที่พิพาทนั้น  เห็นได้ว่า  เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์คือที่พิพาทและเป็นการรบกวนการครอบครองที่พิพาทของรัฐ  บัดนี้รัฐผู้เป็นเจ้าของต้องการจะใช้ที่ดินพิพาท  กล่าวคือ  ประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียต้องการจะบักบันเขตแดนกัน  เมื่อจำเลยยังคงอยู่ในที่พิพาทก็ไม่สามารถจะบักบันเขตแดนกันได้สุขาภิบาลปาดังเบซาร์ได้แจ้งให้จำเลยรื้อถอนอาคารออกไป  จำเลยไม่ยอมรื้อและไม่ยอมออกไป  ทั้ง ๆ ที่จำเลยก็ได้ทราบแล้ว  นับแต่นั้นจำเลยก็มีเจตนาทุจริตที่จะบุกรุกที่ดินของรัฐ  ความผิดเกิดขึ้นในตอนนี้และเป็นความผิดต่อเนื่องกันตลอดไปตราบเท่าที่จำเลยยังคงอยู่ในที่พิพาท  การอยู่ของจำเลยก็อยู่ในเวลากลางคืนด้วย  จึงต้องด้วยมาตรา ๓๖๕ (๓)  อันเป็นความผิดอาญาแผ่นดินการที่มีการเก็บค่าขยะมูลฝอยและมีการเก็บค่าไฟฟ้านั้นก็ไม่เป็นการลบล้างความผิดของจำเลย  กล่าวคือ  เมื่อจำเลยมีขยะมูลฝอยให้เจ้าหน้าที่เก็บเพื่อรักษาความสะอาดเรียบร้อยของบ้านเมือง  เจ้าหน้าที่ก็ต้องเก็บค่าธรรมเนียมตามระเบียบ  และเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าก็เก็บค่าไฟฟ้าตามจำนวนที่จำเลยใช้เป็นคนละเรื่องกัน  ไม่เป็นการรับรองหรือให้สิทธิที่จำเลยจะอยู่ได้
พิพากษายืน.

