คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1753/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามมาตรา 238 และมาตรา 247 แต่ที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงโดยนำข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฎในสำนวนมาวินิจฉัย ทั้งขัดแย้งกับหลักฐานในสำนวนจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (3) (ก) ประกอบมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาของนางสาวสุภา บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 946/2541 ของศาลชั้นต้น โจทก์ได้นำคำสั่งศาลดังกล่าวไปขอรับเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ที่นางสาวสุภาจะพึงได้จากจำเลยเป็นเงิน 27,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 29,102.67 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 27,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยจดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง รวมมิตร มีฐานะเป็นนิติบุคคล โจทก์และนางสาวสุภามิได้เป็นสมาชิกของสมาคมจำเลย นับตั้งแต่จำเลยได้จดทะเบียนเป็นสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ยังไม่เคยดำเนินกิจการใด ๆ โจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยจะต้องชำระเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 และศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 238 และมาตรา 247 แต่ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์ภาค 5 ถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นางสาวสุภา บุตรโจทก์เป็นสมาชิกกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง ก่อนที่ พ.ร.บ. การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 จะใช้บังคับ โดยกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพ และสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกที่ถึงแก่ความตายด้วยเงินสงเคราะห์จัดการศพ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2527 กลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นสมาคมจำเลยนั้น ปรากฏว่าก่อนสืบพยานศาลชั้นต้นได้ไกล่เกลี่ยคู่ความแต่ไม่อาจตกลงกันได้ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้คณะกรรมการของสมาคมจำเลยไปเรียกประชุมสมาชิก แล้วนำบันทึกการประชุมและผลการลงมติมายื่นต่อศาลเพื่อประกอบการพิจารณา ผลการประชุมสมาชิกมีมติว่า กลุ่มสมาชิกดำเนินการเป็นกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์ ไม่ใช่สมาคม ในวันนัดสืบพยานดังกล่าวโจทก์นำสมุดรายชื่อสมาชิกและหลักฐานการชำระเงินค่าสมาชิกของโจทก์ ที่ได้รับจากนายวิทยาประธานกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง ให้จำเลยตรวจดู จำเลยแถลงรับว่าโจทก์มีชื่อเป็นสมาชิกและมีการชำระเงินค่าสมาชิกตามที่ระบุไว้จริง แต่คัดค้านว่าเอกสารดังกล่าวแสดงว่าโจทก์เป็นสมาชิกและชำระเงินให้กลุ่มสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง ไม่เกี่ยวข้องกับสมาคมจำเลย ต่อมานายวิทยาแถลงว่าการดำเนินการของกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง อาศัยความพร้อมใจของสมาชิกในหมู่บ้าน โดยมิได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ. การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 และคู่ความอ้างส่งกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวกับกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง และสมาคมจำเลยเพื่อประกอบการพิจารณา ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่านางสาวสุภา บุตรโจทก์เป็นสมาชิกกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง เป็นการนำข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในสำนวนมาวินิจฉัย ทั้งขัดแย้งกับหลักฐานสมุดรายชื่อสมาชิกและหลักฐานการชำระเงินค่าสมาชิกของโจทก์ ที่โจทก์รับจากนายวิทยามาแสดงต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์เป็นสมาชิกกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง ซึ่งให้การสงเคราะห์ทั้งโจทก์ผู้เป็นสมาชิกและนางสาวสุภาบุตรโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวของสมาชิก และที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า กลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธงได้จดทะเบียนเป็นสมาคมจำเลยก็เป็นการนำข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏในสำนวนมาวินิจฉัยเพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายสุคำ กับพวกรวม 7 คน ซึ่งเป็นคณะกรรมการผู้เริ่มก่อการจัดตั้งสมาคมจำเลยเกี่ยวข้องประการใดกับกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านป่าก๋อย บ้านสันต้นธง ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงในส่วนนี้ใหม่ตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 243 (3) (ก) ประกอบมาตรา 247
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share