คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อ ก.ม.ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้วตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา
เมื่อเริอนพิพาทอยู่ในทำเลที่มีการค้าและเป็นสถานที่ซึ่งทำการติดต่อกับกาค้าทั้งได้เคยทำการค้ามาก่อนกับจำเลยก็ได้เช่าไว้เพื่อทำการค้า ถึงแม้ว่าจำเลยและครอบครัวจะอยู่ด้วยก็อยู่เพื่อประกอบการค้านั่นเอง ดังนั้นเรือนพิพาทจึงมิใ่ช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครอง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ
เมื่อฟังว่าจำเลยเช่าเรือนพิพาทเพื่อทำการค้าจริง ๆ ดังสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างประกอบฟ้องแล้ว ประเด็นเรื่องนิติกรรมอำพรางตามข้อต่อสู้จำเลยก็ย่อมตกไป

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวซึ่งเช่าประกอบการค้าโดยครบสัญญาเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมต่อสัญญาตามเงื่อนไขของโจทก์ โจทก์บอกเลิกการเช่าและเรียกค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าเช่าเรือนพิพาทเพื่ออยู่อาศัยอยู่ในตรอกไม่ใช่ริมถนน ไม่ใช่ทำเลการค้า สัญญาเช่าข้อ ๓ ท้ายฟ้องที่ว่าเช่าเพื่อทำการค้าเป็นนิติกรรมอำพรางเป็นโมฆะ แต่เช่าห้องของโจทก์อีกหลังหนึ่งอยู่เยื้องเรือนพิพาทเป็นสำนักงานในการค้าของจำเลย ๆอยู่ในเรือนพิพาทมา ๒๐ ปีเศษแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าเรือนพิพาทเป็นเคหะตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ และสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพราง
ศาลฎีกาปรึกษาว่าเมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ต้องฟังว่าเรือนพิพาทอยู่ในที่ซึ่งมีการค้าและเป็นสถานที่ซึ่งทำการติดต่อกับการค้าทั้งได้เคยทำการค้ามาก่อนและจำเลยก็ได้เช่าห้องนี้เพื่อทำการค้า แม้จำเลยและครอบครัวจะอยู่ชั้นบนของเรือนพิพาทก็อยู่เพื่อประกอบการค้า เรือนพิพาทจึงมิใช่เป็นเคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ เมื่อฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเช่าเรือนพิพาทเพื่อทำการค้าจริง ๆ ดังสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างประกอบฟ้องประเด็นเรื่องนิติกรรมอำพรางตามคำให้การต่อสู้ของจำเลยย่อมตกไปด้วยเพราะไม่มีการอำพรางกันแต่ประการใด พิพากษายืน

Share