คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์รับจ้างว่าความให้จำเลยโดยตกลงกันว่าจำเลยจะต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์อัตราร้อยละ 10 ของจำนวนเงินที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษา จึงเป็นสัญญาจ้างว่าความโดยวิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความ อันมีวัตถุประสงค์ขัดต่อ พระราชบัญญัติ ทนายความ พ.ศ. 2508 มาตรา 41 ประกอบพระราชบัญญัติ ทนายความ พ.ศ. 2477 มาตรา 12(2) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะตกลงทำสัญญากัน จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) แม้ต่อมาจะได้มีพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528ยกเลิกกฎหมายข้างต้นแล้วก็ไม่ทำให้สัญญาซึ่งเป็นโมฆะตั้งแต่ต้นกลับสมบูรณ์ขึ้นแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระค่าจ้างว่าความเป็นเงิน100,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.1 จำเลยได้ทำมอบให้โจทก์ฝ่ายเดียวซึ่งโจทก์ชอบที่จะรับเอาข้อเสนอแต่เพียงบางส่วนได้การเรียกค่าจ้างในอัตราร้อยละ 10 ของจำนวนทุนทรัพย์ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยเรียกเงินจำนวน 100,000 บาท นี้ได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 988/2507 นั้น เห็นว่า จากคำฟ้องและคำเบิกความของโจทก์ประกอบเอกสารหมาย จ.1 คดีฟังได้ว่า เมื่อจำเลยว่าจ้างให้โจทก์ฟ้องบริษัททิพย์ช้าง จำกัด เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 493/2531ของศาลชั้นต้นนั้นได้มีการตกลงกันว่าจำเลยจะต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 10 ปัญหาว่าค่าจ้างว่าความอัตราร้อยละ 10 นั้นโจทก์จำเลยตกลงให้คำนวณจากจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องหรือคำนวณจากจำนวนเงินที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษาดังที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.1โจทก์เบิกความว่า จำเลยตกลงจะให้ค่าจ้างร้อยละ 10 ของจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง แต่นายวิชัย สมสวัสดิ์ พยานโจทก์เบิกความว่า เอกสารหมายจ.1 เป็นสัญญาที่จำเลยจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความฟ้องบริษัททิพย์ช้าง จำกัด และโจทก์เบิกความว่า โจทก์เป็นผู้ให้จำเลยทำเอกสารหมาย จ.1 เมื่อจำเลยถอนโจทก์ออกจากการเป็นทนายความดังนั้น เอกสารหมาย จ.1 นี้แม้จะทำขึ้นหลังจากโจทก์ว่าความให้จำเลยแล้ว แต่ก็เป็นการทำขึ้นเพื่อให้มีหลักฐานเป็นหนังสือว่าตกลงค่าจ้างกันเป็นจำนวนเงินเท่าใด เอกสารฉบับนี้มิได้เป็นเพียงข้อเสนอของจำเลยดังที่โจทก์ฎีกา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์รับจ้างว่าความให้จำเลยโดยตกลงกันว่าจำเลยจะต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์อัตราร้อยละ 10 ของจำนวนเงินที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษาจึงเป็นสัญญาจ้างว่าความโดยวิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่ลูกความ อันมีวัตถุประสงค์ขัดต่อพระราชบัญญัติ ทนายความ พ.ศ. 2508 มาตรา 41 ประกอบพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2477 มาตรา 12(2) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะตกลงทำสัญญากันจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่) แม้ต่อมาจะได้มีพระราชบัญญัติ ทนายความ พ.ศ. 2528 ยกเลิกกฎหมายข้างต้นแล้วก็ไม่ทำให้สัญญาซึ่งเป็นโมฆะแต่ต้นกลับสมบูรณ์ขึ้นแต่อย่างใดดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างว่าความจากจำเลยได้คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share