คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเช่าที่ดินโจทก์ปลูกเรือนแล้วให้ผู้อื่นเช่าอยู่อาศัยในเรือนนั้นตลอดมา โดยจำเลยไม่ได้เข้าอยู่อาศัยเอง ก่อนครบกำหนดสัญญาเช่าราว 5 เดือนจำเลยจึงได้เข้าไปอยู่อาศัยในเรือนหลังนั้น แต่เป็นเวลาภายหลังที่โจทก์ได้แจ้งความประสงค์ให้จำเลยทราบแล้วว่าจะไม่ต่อสัญญาเช่าให้ เพราะโจทก์ตั้งใจจะเข้าอยู่ในที่ดินนั้นเอง ดังนี้ แม้ในสัญญาเช่าจะมีข้อความว่า “เช่าอยู่อาศัยหรือปลูกบ้านให้ผู้อื่นเช่า” ก็ตาม ย่อมเห็นได้ว่าความจริงจำเลยได้เช่าที่ดินปลูกเรือนให้ผู้อื่นเช่าเพื่อเก็บผลประโยชน์มาตั้งแต่ต้น จึงไม่เป็นการอยู่อาศัยอันควร ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ ทั้งพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยมิได้ใช้สิทธิโดยสุจริตตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ นั้นด้วย

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยปลูกเรือนหมายเลขที่ ๑๓๔ ในพ.ศ. ๒๔๙๓ และต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้ปลูกเรือนหมายเลขที่ ๗๗/๒ อีก ๑ หลังลงในที่เช่า จำเลยได้เสียค่าเช่าที่ดินให้แก่โจทก์ตลอดมาโดยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาเช่า ต่อมาในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๙๘ โจทก์ได้หย่าขาดกับสามีที่ดินที่เช่าตกเป็นส่วนได้แก่โจทก์ จำเลยจึงได้ทำสัญญาเช่าให้โจทก์ไว้ในวันเดียวกันนั้น มีกำหนดเวลาเช่า ๓ ปี และตามสัญญาเช่าข้อ ๑ มีข้อความว่า “เช่าอยู่อาศัยหรือปลูกบ้านให้ผู้อื่นเช่า” แต่ขณะทำสัญญาเช่าฉบับนี้ จำเลยได้ให้ผู้อื่นเช่าอยู่อาศัยในเรือนสองหลังนี้ตลอดมาอยู่ก่อนแล้ว โดยจำเลยมิได้เข้าอยู่อาศัยต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ ก่อนหมดสัญญาเช่าราว ๕ เดือน จำเลยจึงได้เข้าไปอยู่อาศัยในเรือนหลังเลขที่ ๗๗/๒ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าด้วยวาจากับจำเลยว่าจะไม่ต่อสัญญาให้แล้ว ต่อมาโจทก์ให้ทนายมีหนังสือลงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๐๑ จึงจำเลยว่าประสงค์จะเข้าอยู่เอง ขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่เช่าก่อนครบกำหนดสัญญาแต่จำเลยก็ยังคงอยู่และให้คนเช่าตลอดมาจนถึงวันฟ้องคดีนี้ ปัญหาจึงมีว่าจำเลยจะควรได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน ฯ หรือไม่
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ว่า ตามสัญญาเช่าข้อ ๑ แสดงเจตนาของคู่กรณีว่า เป็นการเช่าเพื่ออยู่อาศัยหรือปลูกบ้านให้เช่าก็ได้ทั้งสองอย่าง สุดแล้วแต่ผู้เช่าจะเลือก ก่อนสัญญาเช่าสิ้นสุด จำเลยเข้ามาอยู่อาศัยในเรือนหลังเลขที่ ๗๗/๒ ตลอดมาจนถึงวันครบกำหนดสัญญาเช่า จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ เฉพาะเรือนหลังนี้ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเรือนหลังเลขที่ ๑๓๔ ออกไปจากที่ของโจทก์ ส่วนที่ขอให้จำเลยรื้อเรือนหลังเลขที่ ๗๗/๒ ให้ยกเสีย
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ว่า จริงอยู่ในสัญญาเช่าแม้จะได้อนุญาตให้จำเลยเลือกเอาในประการใดประการหนึ่งได้ก็ดี แต่จำเลยก็ได้เลือกเอาในทางให้ผู้อื่นเช่าทั้งสองหลังตลอดมาตั้งแต่ต้น เพิ่งจะกลับเข้ามาอยู่เองในเรือนหลังเลขที่ ๗๗/๒ ก็เมื่อภายหลังที่โจทก์ได้แจ้งความประสงค์ให้ทราบว่าจะไม่ต่อสัญญาเช่าให้อีก เพราะเจ้าของตั้งใจจะเข้าอยู่ในที่ดินนั้นเอง อันเป็นการเห็นได้ว่าความจริงจำเลยได้เช่าที่ดินปลูกเรือนให้ผู้อื่นเช่าเพื่อเก็บผลประโยชน์มาตั้งแต่ต้น จึงไม่เป็นการอยู่อาศัยอันควรได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ ทั้งสองหลัง เทียบโดยนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๔๓/๕๔๙๘ การที่จำเลยกลับเข้ามาอยู่ในเรือนหลังเลขที่ ๗๗/๒ ในภายหลังที่สัญญาเช่าใกล้จะหมดอายุ ทั้งเป็นการภายหลังที่เจ้าของที่ดินได้บอกให้จำเลยได้ทราบแล้วด้วยวาจาว่าไม่ประสงค์จะต่อสัญญาให้จำเลยทราบแล้ว เป็นการเห็นได้ว่าจำเลยมิได้ใช้สิทธิโดยสุจริตตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฉบับนั้น จำเลยจึงไม่ควรได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ ดังที่จำเลยอ้าง การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยได้รับความคุ้มครองเฉพาะเรือนหมายเลขที่ ๗๗/๒ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้ให้จำเลยรื้อถอนเรือนเลขที่ ๗๗/๒ ไปจากที่ดินของโจทก์ด้วย

Share