แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 2 ปลูกตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ 1 แล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้มาขอเช่าตึกได้ และจำเลยที่1 จะทำสัญญาเช่าให้มีกำหนดสิบปี เมื่อโจทก์เข้าทำสัญญากับจำเลยที่ 2 และเสียเงินค่าก่อสร้างตึกให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จดทะเบียนการเช่าได้ตามสัญญา
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1135/2506)
แม้จำเลยที่ 1 จะไม่เป็นคู่สัญญากับโจทก์แต่ตามสัญญาระหว่างจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญากับโจทก์ได้ การชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติตามสัญญากับจำเลยที่ 2 นี้ เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ หรือ นัยหนึ่งโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาระหว่างจำเลยทั้งสองด้วยการที่จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์เช่าตึกเป็นการตอบแทนตามสิทธิของโจทก์ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 นั้นด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ลงทุนก่อสร้างตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทน มีสิทธิเรียกและรับเงินค่าก่อสร้างจากผู้จองการเช่าหรือผู้เช่าตึกนั้นได้โจทก์ที่ ๑ ได้ทำสัญญาจองการเช่าตึกเลขที่ ๒๗๕-๒๗๗ โดยตกลงค่าจองการเช่าเป็นเงิน ๙๕,๐๐๐ บาท ชำระแล้ว ๘๘,๐๐๐ บาท ที่เหลือจะชำระในวันจดทะเบียนการเช่า โจทก์ได้เข้าพักอาศัยในตึกแล้ว โจทก์ที่ ๑ยอมให้โจทก์ที่ ๒ เข้าทำสัญญาในฐานะผู้เช่ากับจำเลยที่ ๑ และได้ร้องขอจดทะเบียนการเช่าต่ออำเภอ แต่แล้วจำเลยที่ ๑ กลับไม่ยอมทำสัญญา อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ชำระเงินค่ารื้อถอนและค่าเช่าที่ค้างจึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองทำสัญญาและจดทะเบียนการเช่าตึกดังกล่าวให้โจทก์มีกำหนดสิบปี ถ้าไม่อาจทำได้ ให้คืนเงินค่าจองและค่าที่โจทก์ตบแต่งเพิ่มเติมพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเช่าตึก การที่จำเลยที่ ๑ ไม่จดทะเบียนการเช่าให้ เป็นเพราะความผิดของจำเลยที่ ๒ ที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์ และให้โจทก์ชำระค่าเช่า
โจทก์ให้การปฏิเสธฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนการเช่าตึกพิพาทให้โจทก์มีกำหนดสิบปี หากไม่อาจกระทำได้ ให้จำเลยที่ ๒ คืนเงิน๘๘,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่า จำเลยที่ ๑ ตกลงให้จำเลยที่ ๒ปลูกตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ ๑ แล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ยอมให้จำเลยที่ ๒ มีสิทธิเรียกเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้มาขอเช่าตึกแถวได้ แล้วจำเลยที่ ๑ จะทำสัญญาเช่าให้มีกำหนดสิบปี โจทก์ได้เสียเงินช่วยค่าก่อสร้างให้จำเลยที่ ๒ แล้ว๘๘,๐๐๐ บาท คงเหลืออีก ๗,๐๐๐ บาท จะชำระในวันจดทะเบียนการเช่า โจทก์ที่ ๒ กับจำเลยที่ ๑ ได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนการเช่ามีกำหนดสิบปีที่อำเภอแล้ว แต่ต่อมาจำเลยที่ ๑ กลับใจไม่ยอมจดทะเบียน อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ยังไม่ชำระเงินค่าเช่าที่ค้าง
มีปัญหาว่า โจทก์ที่ ๒ จะมีสิทธิบังคับให้จดทะเบียนการเช่าตึกสิบปีได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้เสียเงินค่าก่อสร้างตึกพิพาทแก่จำเลยที่ ๒ เพื่อปลูกสร้างอาคารขึ้นบนที่ดินของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ สัญญากับจำเลยที่ ๒ ว่า เมื่อปลูกตึกแล้ว ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ยอมให้จำเลยที่ ๒ มีสิทธิเรียกเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้มาขอเช่าตึกได้เช่นนี้ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จดทะเบียนการเช่าได้ตามสัญญาดังนัยฎีกาที่ ๑๑๓๕/๒๕๐๖ แม้จำเลยที่ ๑ จะไม่เป็นคู่สัญญากับโจทก์ตามข้อตกลงนี้ด้วยก็ตาม แต่ตามสัญญาระหว่างจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ ๑ยินยอมให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญากับโจทก์ดังกล่าวข้างต้นได้ การชำระหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ต้องปฏิบัติตามสัญญากับจำเลยที่ ๒ นี้ เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ หรือนัยหนึ่งโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญา ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ด้วยการที่จำเลยที่ ๑ ยอมให้โจทก์เช่าอาคารเป็นการตอบแทน ตามสิทธิของโจทก์ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ นั้นด้วย จำเลยที่ ๑ จึงต้องจดทะเบียนการเช่าให้แก่โจทก์ที่ ๒ ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น
พิพากษาแก้ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการ.