คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจตนารมณ์ของกฎหมายประสงค์ให้ประธานก.อ.ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ถ่วงดุลยอำนาจของอัยการสูงสุดไม่ให้มีอิทธิพลเหนือข้าราชการอัยการทั้งปวงมากเกินไปอันเป็นการการปกป้องคุ้มครองข้าราชการอัยการให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอิสระปราศจากอิทธิพลครอบงำใดๆเพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรมและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงดังนั้นการที่จะแปลกฎหมายตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการพ.ศ.2521มาตรา15ตรีวรรคสี่ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่49ข้อ5และมาตรา20วรรคสองที่บัญญัติเป็นข้อยกเว้นให้อัยการสูงสุดในฐานะรองประธานก.อ.ทำหน้าที่ประธานก.อ.ได้ชั่วคราวในระหว่างที่ประธานก.อ.พ้นจากตำแหน่งหรือไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้โดยให้หมายความรวมถึงให้รองประธานก.อ.ทำหน้าที่ประธานก.อ.ได้ในระหว่างที่ประธานก.อ.ยังไม่พ้นจากตำแหน่งย่อมเป็นการแปลขยายความเพิ่มอำนาจให้แก่อัยการสูงสุดให้มีอำนาจตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการอัยการที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงได้ทุกระดับชั้นจึงขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฯมาตรา54และขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งหมายให้มีการถ่วงดุลย์อำนาจซึ่งกันและกันเพราะมิฉะนั้นจะเปิดโอกาสให้มีการอ้างเหตุว่าประธานก.อ.ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ว่าโดยทางใดแล้วใช้อำนาจของประธานก.อ.นั้นไปในทางที่ไม่ชอบไม่ควรรวมทั้งอาจใช้อำนาจสั่งพักราชการข้าราชการอัยการคนหนึ่งคนใดตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฯมาตรา57อีกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นข้าราชการอัยการชั้น 4 ตำแหน่งอัยการจังหวัดประจำกรมสำนักงานคดีแพ่งธนบุรี สำนักงานอัยการสูงสุดจำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการอัยการชั้น 8 ตำแหน่งอัยการสูงสุด และเป็นรองประธานคณะกรรมการอัยการ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 เป็นข้าราชการอัยการและเป็นกรรมการอัยการโดยตำแหน่ง จำเลยที่ 8ถึงที่ 10 เป็นข้าราชการอัยการ จำเลยที่ 11 ถึงที่ 13 เป็นข้าราชการอัยการบำนาญ จำเลยที่ 8 ถึงที่ 13 เป็นกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ นายกมล วรรณประภา เป็นประธานคณะกรรมการอัยการระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2536 จำเลยที่ 1 ในฐานะอัยการสูงสุดได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนชั้นต้นเพื่อสอบข้อเท็จจริงเรื่องที่นายประหยัด บุญญฤทธิ์ ร้องเรียนว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนชั้นต้นรายงานผลการสอบสวนชั้นต้นต่อจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ในฐานะรองประธานคณะกรรมการอัยการทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการอัยการได้ออกคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 68/2536 วันที่ 20 เมษายน2536 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจคำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คณะกรรมการสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนโจทก์ โจทก์ได้มีหนังสือคัดค้านไปยังจำเลยทั้งสิบสามกับรองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้บังคับบัญชาสำนักงานอัยการสูงสุด และมีหนังสือร้องเรียนคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่ง ต่อมาสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 แก้ไขคำสั่งให้ถูกต้อง ครั้นวันที่ 15 มิถุนายน 2536 จำเลยที่ 1 เรียกประชุมคณะกรรมการอัยการ ครั้งที่ 6/2536 เพื่อพิจารณาลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ นายกมล วรรณประภาไม่ได้เข้าประชุม จำเลยที่ 1เป็นประธานที่ประชุมแทน คณะกรรมการอัยการลงมติว่าจำเลยที่ 1มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโจทก์ ทั้งนี้ จำเลยที่ 1ไม่มีสิทธิเข้าประชุมเพราะเป็นการพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 เข้าประชุมและชักจูงที่ประชุมให้คล้อยตามความเห็นของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสิบสามจงใจลงมติโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ต่อจากนั้นจำเลยทั้งสิบสามได้ลงมติว่า โจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้ปลดออกจากราชการซึ่งเป็นมติที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นการจงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์ กลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 ในฐานะรองประธานคณะกรรมการอัยการทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการอัยการได้ออกคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 133/2536 ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2536ลงโทษปลดโจทก์ออกจากราชการโดยจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จงใจกลั่นแกล้งกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่68/2536 ลงวันที่ 20 เมษายน 2536 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเพิกถอนมติคณะกรรมการอัยการ ครั้งที่ 6/2536ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2536 ที่ลงโทษปลดโจทก์ออกจากราชการ เพิกถอนคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 133/2536 ลงวันที่ 15 มิถุนายน2536 ที่สั่งลงโทษปลดโจทก์ออกจากราชการ
จำเลยทั้งสิบสามให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 4เพราะจำเลยที่ 4 ไม่ได้เข้าประชุมคณะกรรมการอัยการ ครั้งที่6/2536 จำเลยที่ 1 ได้ออกคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 68/2536เนื่องจากนายกมล วรรณประภา ประธานคณะกรรมการอัยการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จำเลยที่ 1 ในฐานะรองประธานคณะกรรมการอัยการทำหน้าที่แทนประธานคณะกรรมการอัยการจึงเป็นผู้ลงนามในคำสั่งดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2536 ในขณะมีการประชุมคณะกรรมการอัยการ ครั้งที่ 4/2536 ซึ่งประธานคณะกรรมการอัยการป่วยไม่มาประชุมและไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้การออกคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่เรื่องต้องทำเองเฉพาะตัว แต่เป็นเรื่องที่ทำแทนกันได้ คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 มีสิทธิเข้าประชุมคณะกรรมการอัยการครั้งที่ 6/2536 การที่จำเลยที่ 1 ลงนามในคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 68/2536 ไม่ถือว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนได้เสียในระเบียบวาระการประชุม การประชุมคณะกรรมการอัยการครั้งที่ 6/2536 จึงชอบด้วยกฎหมายและมติคณะกรรมการอัยการให้ลงโทษปลดโจทก์ออกจากราชการย่อมเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยชอบและโดยสุจริต มิได้มุ่งให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด คำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 133/2536 ออกตามมติคณะกรรมการอัยการครั้งที่ 6/2536 และผู้บังคับบัญชาได้สั่งไปตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ จำเลยทั้งสิบสามไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์และไม่ได้กลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย โจทก์ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประเด็นสำคัญว่า คำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 68/2536 ลงวันที่ 20 เมษายน 2536 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยชอบหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าพนักงานอัยการมีตำแหน่งหน้าที่เป็นทนายแผ่นดิน มีกฎหมายบัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนไว้มากมาย การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการจึงต้องมีอิสระปราศจากอิทธิพลทั้งภายนอกจากทางการเมือง และภายในจากการใช้อำนาจไม่เป็นธรรมของผู้บังคับบัญชา พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการพ.ศ. 2521 มาตรา 15 จึงบัญญัติให้มีคณะกรรมการอัยการหรือ ก.อ.เป็นองค์การบริหารงานของอัยการโดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นข้าราชการการเมืองอาจใช้อิทธิพลก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ในทางคดีของพนักงานอัยการได้ ต่อมาจึงมีประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 47, 48 และ 49 ออกมาแก้ไขปรับปรุงระบบการบริหารงานยุติธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับงานของอัยการเสียใหม่ ด้วยการจัดตั้งสำนักงานอัยการสูงสุดขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี โอนบรรดาอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกรมอัยการ กระทรวงมหาดไทยไปเป็นของสำนักงานอัยการสูงสุด เปลี่ยนประธาน ก.อ. จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ก.อ. ที่มาจากข้าราชการบำนาญซึ่งได้รับเลือกตั้งจากพนักงานอัยการตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไปทั่วประเทศอันเป็นการป้องกันอิทธิพลจากทางการเมือง และในขณะเดียวกันก็มีบุคคลภายนอกที่ได้รับความไว้วางใจจากพนักงานอัยการคอยระแวงระวังมิให้ข้าราชการประจำที่เป็นผู้บังคับบัญชาใช้อิทธิพลครอบงำข้าราชการชั้นผู้น้อยที่อยู่ใต้บังคับบัญชา อันจะทำให้งานของอัยการมีความเป็นอิสระเกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชนโดยรวม สมดังเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการที่ปรากฏอยู่ในหลักการและเหตุผลของการตรากฎหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 มาตรา 43 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49 ข้อ 8 บัญญัติว่า”ข้าราชการอัยการต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย ห้ามมิให้ขัดขืนหลีกเลี่ยงถ้าไม่เห็นพ้องด้วยคำสั่งนั้นจะเสนอความเห็นทัดทานเป็นหนังสือก็ได้ แต่ต้องเสนอโดยด่วน และเมื่อได้ทัดทานดังกล่าวแล้วผู้บังคับบัญชามิได้สั่งถอนหรือแก้ไขคำสั่งสั่งไป ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม แต่ให้ผู้บังคับบัญชารายงานขึ้นไปยังอัยการสูงสุดตามลำดับ” และวรรคสองบัญญัติว่า “ในการปฏิบัติราชการห้ามมิให้กระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตนเว้นแต่จะได้รับอนุญาต” ดังนี้ ย่อมเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจแก่ผู้บังคับบัญชา และอาจเปิดโอกาสให้ผู้บังคับบัญชามีอิทธิพลเหนือข้าราชการอัยการซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาได้ เหตุนี้ บทกฎหมายในส่วนที่ให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษข้าราชการอัยการได้อย่างรุนแรงอันได้แก่บทบัญญัติที่ว่าด้วยวินัย การรักษาวินัย และการลงโทษตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 มาตรา 54แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่ 49 ข้อ 7 และข้อ 8 จึงบัญญัติให้อำนาจประธาน ก.อ. และอำนาจอัยการสูงสุดในการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการอัยการที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่มีโทษถึงไล่ออก ปลดออกหรือให้ออก ไว้มากน้อยแตกต่างกันอย่างชัดเจนกล่าวคือ มาตรา 54แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่ 49 ข้อ 7 และข้อ 8 บัญญัติว่า “ข้าราชการอัยการผู้ใดซึ่งผู้บังคับบัญชาเห็นว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่มีโทษถึงไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกให้ผู้บังคับบัญชาต่อไปนี้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นอย่างน้อยสามคน เพื่อทำการสอบสวนคือ(1) ประธาน ก.อ. สำหรับข้าราชการอัยการทุกชั้น (2) อัยการสูงสุดสำหรับข้าราชการซึ่งได้รับเงินเดือนชั้น 1 ถึงชั้น 2″ อำนาจของประธาน ก.อ. ที่จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการอัยการที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจึงมีมากกว่าอำนาจของอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของข้าราชการอัยการทั้งปวงและอำนาจของประธาน ก.อ. เช่นว่านี้ แม้ขณะที่ประธาน ก.อ. พ้นจากตำแหน่งก็มีมาตรา 15 ตรี วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49 ข้อ 5 บัญญัติให้ดำเนินการเลือกตั้งประธาน ก.อ.ใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน 60 วัน นับแต่วันพ้นจากตำแหน่ง และให้อำนาจอัยการสูงสุดในฐานะรองประธาน ก.อ.ทำหน้าที่ประธาน ก.อ. ได้เพียงชั่วคราว ในระยะเวลาดังกล่าวเท่านั้นจึงเป็นข้อชี้ชัดแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ประสงค์จะให้ประธาน ก.อ. ที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ถ่วงดุลย์อำนาจของอัยการสูงสุด ไม่ให้มีอิทธิพลเหนือข้าราชการอัยการทั้งปวงมากเกินไป อันเป็นการปกป้องคุ้มครองข้าราชการอัยการให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยอิสระ ปราศจากอิทธิพลครอบงำใด ๆ เพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรมและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ดังนั้น การที่จะแปลกฎหมายตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 มาตรา 15 วรรคสี่ แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที 49 ข้อ 5 และมาตรา 20 วรรคสอง ที่บัญญัติเป็นข้อยกเว้นให้อัยการสูงสุดในฐานะรองประธาน ก.อ. ทำหน้าที่ประธาน ก.อ. ได้ชั่วคราวในระหว่างประธาน ก.อ. พ้นจากตำแหน่ง หรือไม่มาประชุม หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่โดยให้หมายความรวมถึงให้รองประธาน ก.อ. ทำหน้าที่ประธานก.อ. ได้ในระหว่างที่ประธาน ก.อ. ยังไม่พ้นจากตำแหน่ง ย่อมเป็นการแปลขยายความเพิ่มอำนาจให้แก่อัยการสูงสุดให้มีอำนาจตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้าราชการอัยการที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงได้ทุกระดับชั้นขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 มาตรา 54 ข้างต้น และขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งหมายให้มีการถ่วงดุลย์อำนาจซึ่งกันและกันดังที่ได้วินิจฉัยมาเป็นลำดับ จึงไม่อาจกระทำได้มิเช่นนั้นแล้วจะเปิดโอกาสให้มีการอ้างเหตุว่าประธาน ก.อ.ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ว่าโดยทางใด แล้วใช้อำนาจของประธาน ก.อ. นั้นไปในทางที่ไม่ชอบไม่ควร รวมทั้งอาจใช้อำนาจสั่งพักราชการข้าราชการอัยการคนหนึ่งคนใดตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521มาตรา 57 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49 ข้อ 7 และข้อ 8 ได้อีกด้วย เหตุนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวไว้ เพื่อปกป้องการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการอัยการให้เป็นอิสระเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนโดยส่วนรวม
อนึ่ง ก.อ.มีกรรมการทั้งหมด 14 คน ตราบใดที่มีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่า 7 คน แม้ประธาน ก.อ. ไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ก.อ. ก็สามารถดำเนินการประชุมต่อไปได้ โดยให้รองประธาน ก.อ. เป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธาน ก.อ.หรือรองประธาน ก.อ. ไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการอัยการในที่ประชุมเลือกกรรมการอัยการคนหนึ่งเป็นประธานโดยอัยการสูงสุดมีหน้าที่เสนอเรื่องที่จะประชุมต่อ ก.อ. โดยไม่ตัดสิทธิกรรมการ ก.อ. คนหนึ่งคนใดที่จะเสนอตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 มาตรา 20 และ 21 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49ข้อ 7 และข้อ 8 กิจการทั้งหลายทั้งปวงของอัยการไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการอัยการ การโอนย้ายข้าราชการอัยการไปเป็นข้าราชการธุรการ หรือหน่วยงานอื่นหรือย้ายกลับมาเป็นข้าราชการอัยการ การเลื่อนขั้นเงินเดือน การออกข้อกำหนดการเลื่อนเงินเดือน การกำหนดหลักสูตรและวิธีการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการ การให้ข้าราชการอัยการซึ่งขาดคุณสมบัติบางประการออกจากราชการและอื่น ๆ บรรดาที่บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ก.อ. ก็จักสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่นตามปกติดังที่จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมก.อ. ตลอดมา หาได้มีอุปสรรคเพราะความป่วยเจ็บของประธาน ก.อ.หรือเพราะประธาน ก.อ. ไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้แต่อย่างใดไม่ คงมีแต่เฉพาะเรื่องการลงโทษข้าราชการอัยการในขั้นที่ร้ายแรงเท่านั้น ที่ต้องมีบทกฎหมายบัญญัติกำกับไว้เป็นกรณีพิเศษดังเหตุผลตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว ถึงกระนั้นก็ตาม หากมีกรณีที่พนักงานอัยการคนหนึ่งคนใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงเป็นที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยไม่หวั่นเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองหรือให้ถ้อยคำรับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชา จำเป็นจะต้องลงโทษข้าราชการอัยการผู้นั้นโดยฉับพลันแล้วพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521 มาตรา 56 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49 ข้อ 7ก็บัญญัติให้อำนาจประธาน ก.อ. สั่งลงโทษได้โดยไม่ต้องสอบสวนหรือถ้าประธาน ก.อ. ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ก็สามารถมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษแทนได้โดยไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการที่จะอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนแต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลที่ได้วินิจฉัยมาโดยลำดับ คำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 68/2536 ลงวันที่ 20 เมษายน 2536 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ซึ่งเป็นข้าราชการอัยการชั้น 4 ขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521มาตรา 54(2) แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49 ข้อ 7 และข้อ 8 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนโจทก์ จึงไม่มีผลของการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมายที่อัยการสูงสุดจะทำความเห็นรายงานให้ ก.อ. มีอำนาจลงมติให้ลงโทษโจทก์ตามมาตรา 54 วรรคห้า แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 49 ข้อ 7 และข้อ 8 ได้ ดังนั้นมติคณะกรรมการอัยการ ครั้งที่ 6/2536 ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2536ที่ให้ลงโทษปลดโจทก์ออกจากราชการและคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 133/2536 ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2536 ที่สั่งลงโทษปลดโจทก์ออกจากราชการตามมติคณะกรรมการอัยการดังกล่าว จึงเป็นมติและคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีไม่จำต้องวินิจฉัยในฎีกาข้ออื่น ๆของโจทก์เพราะไม่อาจทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่68/2536 ลงวันที่ 20 เมษายน 2536 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเพิกถอนมติคณะกรรมการอัยการ ครั้งที่ 6/2536 ลงวันที่15 มิถุนายน 2536 ที่ให้ลงโทษปลดโจทก์ออกจากราชการ และเพิกถอนคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดที่ 133/2536 ลงวันที่ 15 มิถุนายน2536 ที่สั่งลงโทษปลดโจทก์ออกจากราชการนั้นเสีย

Share