แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยแถลงต่อศาลโดยศาลนัดพร้อมและสอบถามเพื่อรับรองข้อเท็จจริงในคดี โดยจำเลยมิได้แถลงปฏิเสธหรือยืนยันอย่างใดนั้น จึงมิใช่เป็นการแจ้งความเท็จตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จและแจ้งความเท็จ โดยกล่าวว่า ชั้นเดิมจำเลยฟ้องโจทก์เรียกเงินตามสัญญากู้ โจทก์ให้การว่าชำระหนี้ให้จำเลยแล้ว ระหว่างพิจารณาโจทก์ส่งใบรับชำระหนี้ ซึ่งจำเลยออกให้ต่อศาล จำเลยปฏิเสธว่าไม่ใช่ใบรับของจำเลย ที่สุดโจทก์จำเลยท้ากันให้เจ้าหน้าที่กองวิทยาการพิสูจน์ ผลปรากฏว่าลายเซ็นในใบรับนั้นเป็นลายเซ็นของจำเลย การที่จำเลยฟ้องเรียกเงินเต็มจำนวน สัญญาที่จำเลยนำมาฟ้องจึงเป็นพยานหลักฐานเท็จ และจำเลยได้นำความเท็จแจ้งต่อผู้พิพากษาในระหว่างการพิจารณาด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๐, ๑๓๗
ศาลจังหวัดชลบุรีไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลเป็นความผิดอายาดังฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในข้อหาว่าจำเลยแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยต้องกันว่าจำเลยมิได้แสดงหลักฐานอันเป็จเท็จและเมื่อได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงตรงกัน ข้อหานี้ของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
ส่วนฎีกาโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๗ นั้น ข้อเท็จจริงทางพิจารณาได้ความว่า เนื่องจากโจทก์อ้างว่า ได้ชำระหนี้บางส่วนให้จำเลยแล้วตามใบรับเงินที่โจทก์อ้าง ศาลจึงได้นัดจำเลยมาสอบถาม จำเลยแถลงมิได้ปฏิเสธหรือยืนยันว่าใบรับไม่ใช่ของจำเลย จำเลยเพียงแต่แถลงว่า จำเลยไม่รับรองใบรับเงินนั้นเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำแถลงของจำเลยนี้ยังมิใช่ข้อความเท็จแต่อย่างใด เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ชอบด้วยรูปคดีแล้ว
พิพากษายืน