แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้โอนซึ่งเป็นทายาท แต่มิได้ครอบครองที่ดินมฤดกเกิน 1 ปีแล้วไปขอรับมฤดกที่ดินใส่ชื่อตนคนเดียว โดยโจทก์ซึ่งเป็นทายาทผู้ครอบครองที่ดินมฤดกอยู่ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย แล้วต่อมาได้โอนที่ดินนั้น ให้บุตรของตน ซึ่งผู้รับโอนรู้อยู่แล้วว่า เป็นที่ดินมฤดกที่โจทก์ครอบครองอยู่ ดังนี้ ถือว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตแม้เสียค่าตอบแทน โจทก์ก็เพิกถอนได้.
ย่อยาว
ได้ความว่า นางแพภรรยาโจทก์เป็นบุตร ผ. จำเลยที่ ๑ ผ.ได้โอนที่นาพิพาทให้นางแพเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางแพ ต่อมานางแพตายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๖ โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทมาฝ่ายเดียวเกิน ๑ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ ผ.จำเลยที่ ๑ ได้โอนโฉนดรับมฤดกนางแพ โจทก์ได้ฟ้อง ผ.ขอแบ่งที่ดินรายนี้ และขออายัติที่ดินไว้ ภายหลังโจทก์ถอนฟ้องคดีเสีย จำเลยขอถอนอายัติ แล้วโอนทะเบียนขายที่ดินนั้นให้ จำเลยที่ ๒-๓ ซึ่งเป็นบุตรของตน ซึ่งจำเลยที่ ๒-๓ เคยเช่าทำนานั้นแบ่งข้าวให้โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ จำเลยที่ ๒-๓ รู้ดีว่าเป็นที่ของโจทก์รับโอนโดยไม่สุจริต ให้เพิกถอนการโอน ส่วนที่บุตรโจทก์ยื่นคำร้องขอแบ่งส่วนเฉลี่ยมฤดกด้วย ศาลไม่ได้พิพากษาให้แบ่งมฤดก จึงไม่แบ่งให้
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ โดยอ้างเหตุว่าโจทก์ครอบครองมาเกิน ๑ ปี ควรมีกรรมสิทธิ แต่ยังหาได้จดทะเบียนสิทธิไม่ จะใช้ยันบุคคลภายนอกซึ่งรับโอนโดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิแล้วไม่ได้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ผู้เป็นสามีและทายาทนางแพได้ครอบครองมาฝ่ายเดียว จนล่วงพ้นอายุความมฤดกแล้ว จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นทายาทไม่ได้ครอบครองที่ดินรายนี้ จนล่วงเลยอายุความมฤดกแล้ว ได้ไปขอใส่ชื่อถือกรรมสิทธิแต่ผู้เดียว โจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยที่ ๒-๓ ก็รู้อยู่ดีว่าเป็นที่ของโจทก์ การโอนขายให้จำเลยที่ ๒-๓ นั้น เห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งสามกระทำไปโดยไม่สุจริต โดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ เพิกถอนนิติกรรมนี้ได้ตามมาตรา ๒๓๗
พิพากษากลับ และให้โจทก์มีสิทธิจะจดทะเบียนสิทธิต่อไป.