คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1740/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การวินิจฉัยคดีแพ่งเกี่ยวด้วยเรื่องมรดกอิสลามศาสนิกในศาลจังหวัดปัตตานี ซึ่งศาลชั้นต้นต้องใช้กฎหมายอิสลามและต้องให้คะโต๊ะยุติธรรมวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามนั้น หากศาลชั้นต้นปฏิบัติไม่ถูกต้อง ศาลสูงก็มีอำนาจยกคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียให้ถูกต้องแล้วพิพากษาใหม่ได้
ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยข้อกฎหมายอิสลามได้ เพราะถ้ามีคำวินิจฉัยชี้ขาดของคะโต๊ะยุติธรรมในข้อกฎหมายอิสลามมาโดยถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นอันเด็ดขาดในคดีนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่านายปิ บิดาโจทก์ถึงแก่กรรม ที่ดินรวม ๒๐ แปลงของนายปิจึงตกได้แก่โจทก์ผู้เป็นบุตรแต่ผู้เดียวตามศาสนาอิสลาม เพราะโจทก์เป็นชายจึงตัดทายาทอื่นหมด โจทก์ตัดไม้ตะเคียนบนคันนาของโจทก์ จำเลยห้ามและร้องอำเภออ้างว่านายปิทำหนังสือยกที่ดินทั้งหมดให้จำเลย จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งหมด
จำเลยที่ ๑ – ๒ ต่อสู้ว่า ที่ดินหมายเลข ๑ – ๖ และ ๑๐ – ๒๐ เป็นของนายยะโกะบิดาจำเลย นายยะโกะตายตกได้แก่จำเลยตามกฎหมายอิสลาม ส่วนที่ดินหมาย ๗ – ๘ – ๙ เป็นของนายปิ ๆ ทำพินัยกรรมแบบ “วาชียะ” ยกให้จำเลยที่ ๒ แล้ว ส่วนจำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
คู่ความตกลงกะประเด็นนำสืบว่า
๑. ที่ดิน ๑๗ แปลงหมายถึง ๑ ถึง ๖ และ ๑๐ ถึง ๒๐ เป็นสินสมรสของบิดามารดาโจทก์ อันเป็นมรดกตกได้แก่บิดาโจทก์และตัวโจทก์ในเวลาต่อมา หรือว่าเป็นของนายยะโกะบิดาจำเลย
๒. นายปิ บิดาโจทก์มีสิทธิทำพินัยกรรมยกที่ดินแปลง หมาย ๗ – ๘ – ๙ ให้จำเลยได้หรือไม่ และได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้จำเลยที่ ๒ จริงหรือไม่
ศาลชั้นต้นฟังวา ที่ดิน ๑๗ แปลงเป็นของนายปิ ตกได้แก่โจทก์และไม่เชื่อว่านายปิได้ทำหนังสือยกให้แก่จำเลยที่ ๒ ทั้งหนังสือก็ไม่ได้ทำให้ถูกแบบ จึงไม่อาจใช้บังคับได้ จึงพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตกได้แก่โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ ๑ – ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาท ๑๗ แปลงเป็นของนายปิ และจำเลยสืบไม่ได้ว่าพินัยกรรมที่นายปิทำนั้นถูกต้องตามกฎหมาย ที่พิพาททั้งหมดจึงตกได้แก่โจทก์ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ – ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงประเด็นข้อ ๑ ว่า ที่ดินพิพาท ๑๗ แปลงเป็นของนายยะโกะบิดาจำเลย มิใช่เป็นของนายปิเจ้ามรดก ที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าที่พิพาททั้ง ๑๗ แปลงยังเป็นของนายปิบิดาโจทก์เป็นมรดกตกได้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ส่วนประเด็ดข้อ ๒ ฟังว่านายปิได้ทำหนังสือจำหน่ายทรัพย์ของตนเมื่อตายไว้จริงดังที่จำเลยนำสืบ แต่หนังสือนี้เป็นพินัยกรรมหรือไม่ นายปิมีสิทธิทำได้หรือไม่ การวินิจฉัยย่อมเป็นผลให้ทรัพย์มรดกของนายปิตกได้แก่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนว่าโจทก์จำเลยเป็นอิสลามศาสนิก และเจ้ามรดกก็เป็นอิสลามศาสนิก การวินิจฉัยคดีแพ่งว่าด้วยเรื่องมรดกอิสลามศาสนิกในศาลจังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นต้องใช้กฎหมายอิสลาม และต้องให้คะโต๊ะยุติธรรมวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามในเรื่องนี้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าหนังสือทำไม่ถูกแบบใช้บังคับไม่ได้ โดยมิได้ใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยมรดกมาบังคับคดี และไม่มีคะโต๊ะยุติธรรมลงชื่อในคำพิพากษาชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามเรื่องพินัยกรรม จึงไมต้องด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี ฯ พ.ศ. ๒๔๘๙ มาตรา ๓-๔ และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยนำสืบไม่ได้ว่าเป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยข้อกฎหมายอิสลามได้ เพราะถ้ามีคำวินิจฉัยขี้ขาดของคะโต๊ะยุติธรรมในข้อกฎหมายอิสลามมาโดยถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นเด็ดขาดในคดีนั้น
จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เสีย ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี ฯ พ.ศ. ๒๔๘๙ เท่าที่จำเป็นแก่คดี แล้วพิพากษาใหม่ตามข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาชี้ขาดไว้

Share