แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชายหญิงเป็นสามีภรรยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสและได้ทำนาร่วมกันมา จำเลยทำละเมิดต่อที่นาแปลงนั้น ชายมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ในนามของตนเอง และหญิงก็ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้เพราะมีส่วนได้เสีย
ย่อยาว
โจทก์ที่ 1 ฟ้องว่าได้ทำนาส่วนของโจทก์ที่ 2 ผู้เป็นภรรยาและได้ทำคันดินกั้นน้ำในที่ว่างเปล่าไม่มีเจ้าของเพื่อประโยชน์แก่การทำนานั้น จำเลยทำลายคันดินนั้นพังเกือบหมดทำให้น้ำไหลเข้าท่วมที่นาจนโจทก์ไม่อาจปลูกข้าวได้ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายและทำคันดินให้อยู่ในสภาพเดิมและให้ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้อง
โจทก์ที่ 2 ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยให้การว่าไม่ได้ทำลายคันดินนั้น และว่าน้ำเข้านาโจทก์จากทางอื่น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และให้ถมคันกั้นน้ำให้อยู่ในสภาพกั้นน้ำได้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาในข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแทนนางสังวาลย์ผู้เป็นภรรยาไม่จดทะเบียนของโจทก์ว่าความข้อนี้จำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้แต่ต้น จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยชั้นศาลฎีกา อย่างไรก็ดี ที่นาที่จำเลยทำให้โจทก์ไม่สามารถทำนาได้นั้น แม้ไม่ใช่สินบริคณห์ก็จริง แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหาย โจทก์มีส่วนได้เสียในที่นานี้เพราะโจทก์ทำนาร่วมกับนางสังวาลย์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องได้ในนามของตนเอง นางสังวาลย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามสิทธิของตนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 เพราะมีส่วนได้เสีย
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้แล้ว
จึงพิพากษายืน