คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1732/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยรับเอาแผนการปล้นโดยนำรถบรรทุกสินค้าไปหยุด ณ ที่กำหนด ให้พวกปล้นเอารถและสินค้าไปไม่มีพฤติการณ์อื่นว่าจำเลยร่วมกระทำในขณะปล้น จึงเป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 12 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 13 ปี6 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 กับให้ใช้ทรัพย์ ริบของกลางศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นแต่ผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86 จำคุก 6 ปี 8 เดือน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “โจทก์นำสืบว่านายชาลี มงคลสุขมีอาชีพขายส่งสินค้าประเภทต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้าตามอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดสงขลา โดยมีรถยนต์บรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้อ อี ซู ซุ หมายเลขทะเบียน ส.ข.06090ใช้เป็นพาหนะส่งของเป็นประจำวัน เหตุเกิดวันที่ 15 กันยายน 2519 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา หลังจากนายชาลีผู้เสียหายเสร็จจากการส่งสินค้าที่อำเภอนาทวีแล้วเดินทางกลับ โดยมีจำเลยที่ 1 ลูกจ้างเป็นคนขับ และมีนายประเสริฐลูกจ้างคนขายสินค้าประจำรถนั่งคู่มาด้วยกันตอนหน้าของรถมาตามถนนนาทวี-คลองแงะ ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 11-12 สองข้างทางเป็นป่าเปลี่ยวอยู่ในเขตแทรกซึมผู้ก่อการร้าย ขณะรถกำลังขึ้นเนิน พบชายวัยรุ่น2 คนอยู่ข้างทาง คนหนึ่งนอนอยู่ในลักษณะของคนที่ได้รับบาดเจ็บจากบาดแผล ส่วนอีกคนหนึ่งยืนโบกมืออยู่ใกล้ ๆ เป็นที่ผิดสังเกต นายประเสริฐลูกจ้างที่มาด้วยห้ามไม่ให้จำเลยที่ 1 หยุดรถรับ แต่จำเลยที่ 1 ไม่เชื่อฟังกลับหยุดรถแล้วรีบเปิดประตูรถตรงไปจะเข้าอุ้มคนที่แกล้งทำเป็นเจ็บ ทันทีนั้นมีคนร้ายอีกคนหนึ่งออกจากป่าข้างทางถือปืนสั้นตรงมาที่รถ ใช้ปืนจี้บังคับนายประเสริฐลงจากรถพาเข้าป่า และเป็นเวลาเดียวกับชายที่โบกมือให้รถหยุดก็แสดงตัวเป็นคนร้ายบังคับนายชาลี เอาคนทั้งสองผูกมัดติดกับต้นไม้ใกล้ ๆกัน ก่อนคนร้ายจะผละไปได้ปลดเอานาฬิกาข้อมือยี่ห้อเท็คโน๊สราคา 800 บาทของนายประเสริฐ และเอาเงิน 10,000 บาทของนายชาลี จากนั้นจึงออกไปสมทบกับพวกนำเอารถยนต์และสินค้าในรถพาหลบหนีไป ผู้เสียหายทั้งสองแก้มัดแล้วได้ขออาศัยรถที่ผ่านมานำความไปแจ้งต่อสถานีตำรวจภูธรคลองแงะแล้วกลับถึงบ้านเมื่อเวลาประมาณ 19 นาฬิกา อีกไม่นานจำเลยที่ 1 จึงได้กลับมา ระหว่างผู้เสียหายถูกปล้นไม่มีใครทราบว่าจำเลยที่ 1 ไปอยู่เสียที่ไหนเช้าวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายทั้งสองและจำเลยที่ 1 พากันไปพบเจ้าพนักงานที่สถานีตำรวจ ณ ที่นั่นเองจำเลยที่ 1 ยอมรับต่อเจ้าพนักงานว่า ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3กับพวกอีกหลายคนทำการปล้นทรัพย์รายนี้ โดยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพี่ชายเป็นผู้วางแผนการ และได้พาเจ้าพนักงานไปชี้ที่เกิดเหตุ พบร่องรอยแสดงว่ามีคนร้ายหลายคนมาซุ่มคอยเวลาที่จะทำการปล้นอยู่ในป่าข้างทาง นอกจากเจ้าพนักงานจะพบขวดยาแดงที่เปิดใช้แล้ว 1 ขวด กับขวดเปล่าลิโพวิตันดี 1 ขวดตกอยู่ริมถนนในวันเกิดเหตุแล้ว ในวันที่จำเลยที่ 1 พาไปชี้ที่เกิดเหตุเจ้าพนักงานได้พบร่องรอยของยาแดงติดอยู่ตามใบหญ้า และพบเชือกไนล่อนที่ผู้เสียหายทั้งสองยืนยันว่าเป็นเชือกที่คนร้ายใช้มัดตน จากนั้นเจ้าพนักงานจึงไปจับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ในวันเดียวกันนั้นเอง จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพและพาเจ้าพนักงานไปเอาสินค้ากับรถยนต์ที่นำไปจอดซ่อนในป่าห่างที่เกิดเหตุประมาณ 15 กิโลเมตรกลับคืนมาได้พร้อมกับสินค้าที่ถูกปล้นเกือบครบถ้วน” ฯลฯ

“ส่วนปัญหาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นความผิดเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดดังข้อฎีกาของโจทก์หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1มีส่วนรู้เห็นเป็นใจรับเอาแผนการและอุบายจากพวกของตน นำรถไปหยุดณ จุดกำหนดเพื่อให้พวกของตนกระทำการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายดังกล่าวก็ตาม แต่ก่อนหรือขณะที่คนร้ายกระทำการปล้นทรัพย์สินของผู้เสียหายอยู่นั้นไม่มีพฤติการณ์ใด ๆ ที่ส่องแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำการปล้นทรัพย์ด้วย จำเลยเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกให้ผู้อื่นกระทำความผิด จึงเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 หาใช่เป็นตัวการ ดังฎีกาโจทก์ไม่”

พิพากษายืน

Share