คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเคยรับสินค้าของโจทก์มาจำหน่ายเป็นเวลาหลายปี แล้วเลิกเสีย หันมาผลิตสินค้าประเภทเดียวกันขึ้นจำหน่ายเอง โดยใช้เครื่องหมายการค้าคล้ายกัลเครื่องหมายการค้าของโจทก์แทบทั้งหมด มีตัวอักษรส่วนประกอบปลีกย่อยผิดเพี้ยนกันไปบ้างเพียงเล็กน้อย พฤติการณ์ดังนี้ฟังได้ว่าจำเลยเอาแบบรูปรอยประดิษฐ์ในการประกอบการค้าของโจทก์มาใช้เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าสินค้าที่จำเลยจำหน่ายนั้น เป็นสินค้าของโจทก์ที่จำเลยเคยรับมาจำหน่ายจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 272
แม้เจ้าของเครื่องหมายการค้าจะไม่ได้จดทะเบียน แต่ถ้ามีผู้เอาชื่อรูปรอยประดิษฐ์หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของเขาไปใช้เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าอันแท้จริง เจ้าของเครื่องหมายการค้าเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(9) มีอำนาจฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเคยรับสินค้าน้ำมันวานิชของโจทก์มาจำหน่ายเป็นเวลาหลายปี แล้วผลิตน้ำมันวานิชขึ้นจำหน่ายเองโดยใช้เครื่องหมายการค้าเลียนแบบเครื่องแบบการค้าของโจทก์ เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าสินค้าที่จำเลยจำหน่ายนั้นเป็นสินค้าของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๑,๒๗๒
จำเลยให้การปฏิเสธ
ชั้นพิจารณาจำเลยแถลงรับว่า เคยรับสินค้าของโจทก์ไปจำหน่าย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เครื่องหมายการค้าของจำเลยเหมือนกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นการเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โจทก์ใช้เครื่องหมายการค้านั้นมาก่อน จึงมีสิทธิฟ้องได้ ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๑,๒๗๒ จำคุก ๓ เดือน ปรับ ๔๐๐ โทษจำรอไว้ ๒ ปี ยกฟ้องจำเลยที่๑
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๒ เพียงมาตราเดียว นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและสินค้าของจำเลยไม่ได้เลียนแบบรอยประดิษฐ์สินค้าของโจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเคยรับสินค้าของโจทก์มาจำหน่ายเป็นเวลาหลายปี แล้วเลิกเสีย หันมาผลิตสินค้าประเภทเดียวกันขึ้นจำหน่าย โดยใช้เครื่องหมายการค้าคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์แทบทั้งหมด มีตัวอักษรส่วนประกอบปลีกย่อยผิดเพี้ยนกันไปบ้างเพียงเล็กน้อย พฤติการณ์ดังนี้ฟังได้ว่า จำเลยเอาแบบรูปรอยประดิษฐ์ในการประกอบการการค้าของโจทก์มาใช้เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าสินค้าที่จำเลยจำหน่ายนั้น เป็นสินค้าของโจทก์ที่จำเลยเคยรับมาจำหน่าย จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๒
ที่จำเลยฎีกาว่า เครื่องหมายการค้าของโจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียน โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.๒๔๗๔ มาตรา ๒๙ บัญญัติว่า “เมื่อใช้พระราชบัญญัตินี้ ๕ ปีแล้ว ท่านว่าผู้ใดจะนำคดีมาศาลเพื่อป้องกันหรือเรียกค่าเสียหายในการล่วงสิทธิเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนไม่ได้” ศาลฎีกาเห็นว่า ในมาตรา ๒๙ นั้นเอง วรรคท้ายบัญญัติว่า “ข้อความในพระราชบัญญัตินี้ไม่กระทบถึงสิทธิในการฟ้องร้องคดี ซึ่งจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปหลอกขายว่าเป็นสินค้าของผู้อื่น และไม่ตัดสิทธิทางแก้อันผู้เสียหายจะพึงมี” จะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าไม่ได้บัญญัติห้ามไม่ให้โจทก์ฟ้องโดยเด็ดขาดดังฎีกาของจำเลย นอกจากนี้แล้ว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๒ บัญญัติว่า “ผู้ใดเอาชื่อรูป รอยประดิษฐ์หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของผู้อื่นมาใช้ ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าของผู้อื่น ต้องระวางโทษ ฯลฯ ” ศาลฎีกาเห็นว่า ตามมาตรานี้ แม้เจ้าของเครื่องหมายการค้าจะไม่ได้จดทะเบียน แต่ถ้ามีผู้เอาชื่อ รูป รอยประดิษฐ์ หรือข้อความใด ๆ ในการประกอบการค้าของเขาไปใช้เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าอันแท้จริง ก็ย่อมเป็นความผิด ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๓,๒๗๔ บัญญัติถึงความผิดในการประกอบหรือเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว จึงเห็นได้ว่า ถ้ากฎหมายประสงค์คุ้มครองแต่เฉพาะเครื่องหมายการค้าซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว ก็คงไม่ต้องบัญญัติมาตรา ๒๗๒ เอาไว้ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยได้เอาแบบ รูป รอยประดิษฐ์ ในการประกอบการค้าของโจทก์มาใช้เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าสินค้าที่จำเลยจำหน่ายนั้นเป็นสินค้าของโจทก์ที่จำเลยเคยรับมาจำหน่าย ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๒ จึงเห็นได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำผิดของจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ (๔) มีอำนาจฟ้องได้

Share