แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกง ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ โจทก์ส่งมอบให้จำเลยแล้วจำเลยยังไม่ชำระราคา เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ผิดฐานฉ้อโกง พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์มาฟ้องทางแพ่งให้จำเลยชำระราคาหยก ในคดีอาญาดังกล่าวศาลได้ยกประเด็นว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อน เมื่อฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระราคา จึงวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ ประเด็นว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยในคดีอาญา ฉะนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาว่าจำเลยได้ซื้อหยกไปจริงและยังไม่ได้ชำระราคาให้โจทก์ตามฟ้อง
แม้ว่าการซื้อขายหยกจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่โจทก์มอบหยกให้จำเลยรับไปแล้ว ถือได้ว่ามีการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แล้วจึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกราคาหยกจากจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ 5 ก้อน เป็นเงิน 120,000 บาทจำเลยรับมอบหยกไปจากโจทก์แล้ว เมื่อถึงกำหนดชำระเงินจำเลยไม่นำเงินมาชำระ
จำเลยให้การว่า ไม่เคยตกลงซื้อหยกจากโจทก์ ความจริงโจทก์ขายให้กับผู้อื่น การซื้อขายหยกไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยว่าจำเลยตกลงซื้อหยกจากโจทก์ไปตามฟ้อง คดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 534/2517 ของศาลแขวงเชียงใหม่หรือไม่ ซึ่งในคดีนั้นโจทก์ได้ฟ้องหาว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงขอซื้อหยกไปจากโจทก์ โจทก์หลงเชื่อมอบให้ไปแล้วจำเลยไม่ชำระราคา เป็นการฉ้อโกงโจทก์ ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์จำนวน 5 ก้อน ราคา 120,000 บาท โจทก์ส่งมอบหยกให้จำเลยรับไปแล้ว จำเลยยังไม่ชำระราคา เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งไม่ผิดฐานฉ้อโกง คดีถึงที่สุดในคดีอาญาดังกล่าวศาลได้ยกประเด็นว่าจำเลยได้ซื้อหยกไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อน เมื่อวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระราคา จึงได้วินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ ฉะนั้น ประเด็นที่ว่าจำเลยได้ซื้อหยกของโจทก์ไปตามที่โจทก์นำคดีมาฟ้องหรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยในคดีอาญา โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยชำระเงินค่าหยกจึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ฉะนั้นการพิพากษาคดีนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาว่า จำเลยได้ซื้อหยกของโจทก์ไปจริงแล้วยังไม่ชำระราคาให้โจทก์ตามฟ้อง
ที่จำเลยฎีกาว่าการซื้อขายหยกไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าการที่โจทก์มอบหยกให้แก่จำเลยรับไปแล้ว ถือได้ว่ามีการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แล้วจึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกราคาหยกจากจำเลยได้
พิพากษายืน