คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ซึ่งจำเลยได้รับเงินไปแล้ว และจำเลยได้จำนองที่ดินเป็นประกันเงินที่กู้ไป จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์ ความจริงเป็นเรื่องการเช่าซื้อรถยนต์กันระหว่างสามีโจทก์กับสามีจำเลย สามีโจทก์เกรงจะไม่ได้เงินค่าเช่าซื้อจึงให้จำเลยนำที่ดินมาจำนองค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อนั้น โดยให้โจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองแทนเพราะสามีโจทก์เป็นคนต่างด้าว สัญญาจำนองไม่สมบูรณ์ และหนี้ตามสัญญาจำนองได้ระงับสิ้นไปเพราะสามีโจทก์ได้เรียกเอารถยนต์คืนไปแล้ว และในระหว่างที่รถยนต์ที่เช่าซื้อยังอยู่ที่สามีจำเลย สามีจำเลยก็ได้ส่งเงินให้สามีโจทก์ และไม่เคยติดค้างดอกเบี้ยคำให้การจำเลยเช่นนี้เป็นคำให้การที่ต่อสู้คดีว่าจำเลยมีนิติสัมพันธ์ตามสัญญาที่พิพาทอยู่กับสามีโจทก์ แต่การที่ปรากฏมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยก็โดยมีเจตนาจะอำพรางตัวเจ้าหนี้ที่แท้จริงไว้ ทั้งจำเลยยังต่อสู้ว่าหนี้ตามสัญญาที่พิพาทเป็นหนี้สืบเนื่องมาจากหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งจำเลยอ้างด้วยว่าหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไม่มีติดค้างอยู่ระหว่างสามีโจทก์และสามีจำเลย หากฟังได้สมจริงดังจำเลยต่อสู้หนี้ตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนองตามที่โจทก์ฟ้องก็อาจจะไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์และจำนองที่ดินไว้กับโจทก์๒ ราย รวม ๖๐,๐๐๐ บาท แล้วค้างชำระดอกเบี้ยและไม่ชำระต้นเงินให้โจทก์บอกกล่าวแล้ว ขอให้บังคับจำเลยนำเงินต้นและดอกเบี้ยมาไถ่ถอนจำนอง ถ้าไม่ไถ่ ให้ยึดที่ดินจำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระให้โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า ไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ จำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อซึ่งสามีจำเลยเช่าซื้อรถยนต์จากสามีโจทก์แม้หนี้ตามสัญญาจำนองสมบูรณื หนี้ก็ระงับแล้วเพราะสามีโจทก์ได้เรียกเอารถยนต์ที่เช่าซื้อคืนไปและขายให้แก่ผู้อื่นทั้งสามีจำเลยได้ส่งเงินให้สามีโจทก์ไปแล้ว ๘,๘๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๖๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย ถ้าจำเลยไม่ไถ่ถอนจำนอง ให้ยึดที่ดินจำนองขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์จำเลยนำสืบตามประเด็นแห่งคดี แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป ๒ ราย ซึ่งจำเลยได้รับเงินไปแล้ว และจำเลยได้จำนองที่ดินไว้เป็นประกันเงินที่กู้ไปรายละหนึ่งแปลงด้วย ฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์และไม่ได้รับเงินไปจากโจทก์ทั้งสองราย ความจริงเป็นเรื่องการเช่าซื้อรถยนต์ระหว่างสามีโจทก์กับสามีจำเลย แต่สามีโจทก์เกรงว่าจะไม่ได้เงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ จึงให้จำเลยนำที่ดินมาจำนองค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ โดยให้โจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ดินแทน เพราะสามีโจทก์เป็นคนต่างด้าว สัญญาจำนองทั้งสองฉบับไม่สมบูรณ์ หนี้ตามสัญญาจำนองได้ระงับสิ้นไป เพราะสามีโจทก์ได้เรียกเอารถยนต์คืนไปแล้วและในระหว่างที่รถยนต์ที่เช่าซื้อยังอยู่ที่สามีจำเลย สามีจำเลยก็ได้ส่งเงินให้สามีโจทก์ และไม่เคยติดค้างดอกเบี้ย ศาลฎีกาเห็นว่า คำให้การของจำเลยเช่นนี้เป็นคำให้การที่ต่อสู้ว่า จำเลยมีนิติสัมพันธ์ตามสัญญาที่พิพาทอยู่กับสามีโจทก์ แต่การที่ปรากฏมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยนั้น ก็โดยมีเจตนาที่จะอำพรางตัวเจ้าหนี้ที่แท้จริงไว้ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งจำเลยได้ต่อสู้ว่า หนี้ตามสัญญาที่พิพาทตามฟ้องนั้นเป็นหนี้ที่สืบเนื่องมาจากหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งจำเลยได้อ้างด้วยว่าหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไม่มีติดค้างอยู่ ระหว่างสามีโจทก์และสามีจำเลย ฉะนั้น ถ้าหากเรื่องนี้ฟังได้สมจริงดังที่จำเลยต่อสู้ หนี้ตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนองตามที่โจทก์ฟ้องอาจจะไม่สมบูรณ์จำเลยจึงมีสิทธิที่จะนำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเสีย ให้โจทก์จำเลยนำสืบพยานหลักฐานตามประเด็นแห่งคดีต่อไปแล้วพิพากษาคดีเสียใหม่นั้น เป็นการชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share