คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์ฟ้องอย่างคนอนาถาได้. การที่โจทก์จะขอแก้ฟ้องในภายหลังได้หรือไม่นั้น ต้องอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179. คือคำฟ้องเดิมและคำฟ้องภายหลังจะต้องเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้. เมื่อศาลเห็นว่าเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งอนุญาตให้แก้ฟ้องได้แล้ว. ก็หาจำเป็นที่ศาลจะต้องไต่สวนเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้ฟ้องอย่างคนอนาถาสำหรับคำฟ้องภายหลังอีกไม่.เพราะถือได้ว่า ยังคงเป็นคำฟ้องในคดีเดียวกันซึ่งศาลได้ไต่สวนและมีคำสั่งอนุญาตไว้แล้ว.
ตามคำฟ้องเดิม โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญากันให้จำเลยชำระหนี้แทนโจทก์และรับโอนที่ดินประทานบัตรของโจทก์ไว้เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างโจทก์จำเลยประกอบกิจการทำเหมืองแร่. จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา.ไม่จัดตั้งบริษัทขึ้น. แต่กลับขุดเอาแร่ของโจทก์ไปขายเป็นประโยชน์ส่วนตัว เป็นทั้งผิดสัญญาและละเมิด.คำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์กล่าวความเดิมที่จำเลยทำผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว. ขอให้ศาลพิพากษาให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยให้จำเลยรับชำระหนี้ที่ออกใช้แทนโจทก์ไป และโอนประทานบัตรพิพาทคืนให้โจทก์. ดังนี้ย่อมเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้.
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาฉบับแรก แล้วต่อมาทำสัญญาอีกฉบับหนึ่งซึ่งมีข้อความลบล้างสัญญาฉบับแรก. เพื่อใช้ขู่เจ้าหนี้ของโจทก์ให้ยอมรับชำระหนี้และโอนที่ดินประทานบัตรซึ่งเป็นประกันคืนโดยโจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาผูกพันกันจริงจัง. ดังนี้ สัญญาฉบับหลังหามีผลเป็นการยกเลิกสัญญาฉบับแรกไม่.
ตามสัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อกัน. จำเลยจะต้องชำระหนี้แทนโจทก์และรับโอนที่ดินประทานบัตรของโจทก์เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ประกอบกิจการทำเหมืองแร่. แต่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการ ได้เข้าปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้และรับโอนประทานบัตรของโจทก์มาในนามจำเลยที่2. ถือได้ว่าการชำระหนี้และรับโอนประทานบัตรดังกล่าวจำเลยที่ 2 กระทำในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1.
ตามสัญญาที่ทำไว้ โจทก์กับจำเลยที่ 1 จะต้องจัดตั้งบริษัทขึ้น เพื่อประกอบกิจการทำเหมืองแร่ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์ที่โอนให้จำเลย. โดยโจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ถือหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้. แต่เมื่อบริษัทยังมิได้จัดตั้งขึ้นตามสัญญา. จำเลยจะถือสิทธิเข้าไปทำเหมืองแร่ในที่ดินประทานบัตรนั้นโดยลำพังหาได้ไม่.เพราะผิดข้อตกลงที่ทำไว้. การที่จำเลยที่ 1 เข้าดำเนินการและในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการและผู้แทนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคล.ยินยอมให้จำเลยที่ 2 เข้าร่วมดำเนินการขุดหาแร่ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมหรือเกี่ยวข้องด้วย. ย่อมเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต. และเป็นการผิดสัญญาที่จำเลยที่ 1ทำไว้กับโจทก์ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเสียได้.
การที่จำเลยทั้งสองเข้าดำเนินการขุดเอาแร่ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว.จำเลยต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในฐานผิดสัญญาและข้อตกลง. ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีสิทธิอย่างใด.ในการขุดเอาแร่ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์ ต้องรับผิดฐานละเมิด.
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจพิพากษาให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง หรือจะให้เป็นพับกันไปก็ได้.

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฟ้องอย่างคนอนาถา ต่อมาโจทก์ได้ร้องขอเพิ่มเติมฟ้องและทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต โดยมิได้มีการไต่สวนอนาถาอีก ตามฟ้องและฟ้องเพิ่มเติมมีใจความว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากัน โดยจำเลยที่ 1 จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน 8 แสนบาทเศษให้แก่บริษัทเรือขุดแร่จุติ จำกัด แทนโจทก์ โจทก์ตกลงโอนที่ดินประทานบัตรเลขที่ 6081, 10146 ให้จำเลยที่ 1 เป็นประกัน และโจทก์ตกลงจำนองจำนำทรัพย์แก่จำเลยที่ 1 ด้วย และจำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงินที่โจทก์กู้ 1 ล้านบาทเศษพร้อมดอกเบี้ยให้แก่บริษัทเรือขุดแร่จุติ จำกัด อีก โดยให้โจทก์โอนที่ดินประทานบัตรซึ่งโจทก์โอนให้แก่บริษัทเรือขุดแร่จุติ จำกัด เป็นประกันไว้ให้แก่จำเลยที่ 1 รวม 3 แปลง คือประทานบัตรเลขที่ 6082, 6084 และ 6085แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันจะจัดตั้งบริษัทจำกัดขึ้น เพื่อทำเหมืองแร่ในที่ดินประทานบัตรทั้ง 5 แปลงนั้น กำหนดทุนจดทะเบียน5 ล้านบาท ให้จำเลยที่ 1 ถือหุ้น 60 เปอร์เซ็นต์ โจทก์ถือหุ้น 40เปอร์เซ็นต์ เพื่อแบ่งผลประโยชน์ตามส่วน โดยจำเลยที่ 1 จะโอนที่ดินประทานบัตรทั้ง 5 แปลง และทรัพย์ที่โจทก์จำนองจำนำให้เป็นทรัพย์สินของบริษัท จำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้รายแรกและรับโอนที่ดินประทานบัตร 2 แปลงแรกแล้ว ส่วนที่ดินประทานบัตร 3 แปลงหลัง โจทก์ฟ้องบริษัทเรือขุดแร่จุติ จำกัด ให้รับชำระหนี้และโอนประทานบัตรคืน จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 เข้าชำระหนี้และรับโอนที่ดินประทานบัตรแทน โดยจำเลยที่ 1 รับรองจะปฏิบัติตามสัญญา ครั้นแล้วจำเลยกลับไม่ยอมจัดตั้งบริษัท และรับจำนองจำนำทรัพย์สินตามสัญญา และได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายโดยไม่มีสิทธิที่จะทำได้ คือ สมคบกันขุดแร่ดีบุกในที่ดินประทานบัตรเลขที่ 6082 เอาไปขายเพื่อประโยชน์ของจำเลย เป็นการผิดสัญญาและผิดกฎหมาย โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 แล้ว นอกจากนี้จำเลยยังได้เอาที่ดินประทานบัตรเลขที่6081 ไปให้บริษัทล่องเจริญเช่าขุดหาแร่ และจำเลยได้ระบายน้ำขุ่นข้นจากการทำเหมืองทับถมเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำเหมืองของโจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายในการขุดแร่9,000,000 บาท และในการให้เช่าขุดแร่ 1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,200,000 บาท นับแต่วันฟ้อง ห้ามละเมิดขุดหาแร่เพิ่มเป็นรางที่ 3 ให้ใช้ค่าเสียหายในการทำให้เครื่องจักรของโจทกืจมน้ำ 1,000,000 บาท กับชำระค่าเช่าแทนโจทก์อีก 44,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และพิพากษาว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว โจทก์จำเลยต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม คือให้จำเลยทั้งสองรับชำระหนี้จากโจทก์ตามจำนวนเงินที่จำเลยจ่ายชำระแทนโจทก์โดยวิธีหักหนี้จากค่าเสียหายซึ่งจำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ และให้จำเลยโอนประทานบัตรทั้งหมดคืนให้โจทก์ จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า มิได้ผิดสัญญาและมิได้ทำละเมิด สัญญาฉบับแรกได้ยกเลิกแล้วโดยสัญญาฉบับหลัง และสัญญาฉบับหลังได้ยกเลิกโดยบันทึกต่อท้ายสัญญา ทรัพย์ของโจทก์ไม่มีราคาพอ และสัญญาก็เลิกแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่รับจำนองจำนำ โจทก์ยอมโอนที่ดินประทานบัตรให้จำเลยที่ 2 ตามสัญญายอมความในศาล โดยจำเลยที่ 2 ยอมชำระหนี้แทนโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผูกพันต่อไป จำเลยที่ 1 มิได้ทำเหมืองแร่ในฐานะส่วนตัว แต่ทำในฐานะเป็นกรรมการของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีสิทธิทำได้ จึงไม่ละเมิด โจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินความจริงและโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่มีสิทธิได้รับผลกำไรและค่าเสียหายจำเลยขอตัดฟ้องว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย และคดีขาดอายุความละเมิด เครื่องมือเครื่องจักรของโจทก์จมน้ำเป็นความผิดของโจทก์เอง โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและโจทก์ผิดสัญญาประทานบัตรทุกฉบับตกเป็นสิทธิของจำเลยแล้ว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเข้าขุดแร่ เป็นการผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม เฉพาะค่าเสียหายของโจทก์เห็นควรให้หักกลบลบกันไปกับเงินที่จำเลยใช้แทนโจทก์ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินประทานบัตร 5 แปลงคืนให้โจทก์ ห้ามจำเลยขุดหาแร่ต่อไป ถ้ายังขุดหาแร่ต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 374,850 บาท นับแต่วันพิพากษาจนกว่าจะหยุดดำเนินการ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นค่าทนายให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์1,202,000 บาท และห้ามจำเลยขุดแร่ในที่ดินประทานบัตรทั้ง 5 แปลงต่อไป นอกจากที่ดำเนินการอยู่แล้ว 4 ราง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จำเลยฎีกา 1. จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องครั้งที่ 2ได้ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179, 155เพราะฟ้องเดิมเป็นฟ้องเรื่องละเมิด เมื่อได้รับอนุญาตให้ฟ้องอย่างคนอนาถาแล้ว โจทก์มาขอแก้ฟ้องตั้งรูปคดีใหม่เป็นเรื่องผิดสัญญาเป็นคนละรูป ไม่เกี่ยวข้องกัน ทั้งศาลไม่ได้ไต่สวนและมีคำสั่งอนุญาตให้ฟ้องอนาถาในมูลผิดสัญญา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์ฟ้องอย่างคนอนาถาได้ การที่โจทก์จะขอแก้ฟ้องในภายหลังได้หรือไม่นั้น ต้องอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 คือคำฟ้องเดิมและคำฟ้องภายหลังจะต้องเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ เมื่อศาลเห็นว่าเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งอนุญาตให้แก้ฟ้องได้แล้ว ก็หาจำเป็นที่ศาลจะต้องไต่สวนเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้ฟ้องอย่างคนอนาถาสำหรับคำฟ้องภายหลังอีกไม่เพราะถือได้ว่ายังคงเป็นคำฟ้องในคดีเดียวกันซึ่งศาลได้ไต่สวนและมีคำสั่งอนุญาตไว้แล้ว ตามฟ้องเดิมและฟ้องเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ซึ่งจำเลยยอมให้ศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้เป็นเรื่องโจทก์หาว่า จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามสัญญา คือไม่รับจำนองจำนำทรัพย์สิน และไม่จัดตั้งบริษัทขึ้น แล้วสมคบกันขุดเอาแร่ของโจทก์ เป็นทั้งผิดสัญญาและละเมิดคำร้องขอแก้ฟ้องครั้งที่ 2 ซึ่งกล่าวท้าวความเดิมที่จำเลยทำผิดสัญญา และโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามกฎหมาย และขอให้ศาลพิพากษาว่า จำเลยผิดสัญญาท้ายฟ้อง เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามกฎหมายคือให้จำเลยรับชำระหนี้ที่ออกใช้แทนโจทก์ไป และให้จำเลยโอนประทานบัตรพิพาทคืนให้โจทก์ เห็นได้ว่า คำฟ้องภายหลังเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมที่มีอยู่แล้ว พอจะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้ชอบแล้ว 2. จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และการแก้ฟ้องไม่ทำให้ฟ้องที่ไม่เป็นฟ้องกลับดีขึ้นได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องเดิมของโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์จำเลยทำสัญญาตกลงกันให้จำเลยชำระหนี้แทนโจทก์ โดยโจทก์ตกลงโอนที่ดินประทานบัตรเหมืองแร่ของโจทก์ให้จำเลย แล้วจะจัดตั้งบริษัทขึ้น โดยโจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ถือหุ้นมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการทำเหมืองแร่ร่วมกันต่อไป โดยจำเลยจะโอนที่ดินประทานบัตรให้เป็นทรัพย์สินของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้น ต่อมาจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามสัญญา และได้เข้าขุดแร่ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์เอาแร่ไปขายเอาเงินเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเสีย โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย เป็นการทำให้โจทก์ต้องเสียหาย ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว หาเคลือบคลุมไม่ 3. จำเลยฎีกาว่า สัญญาที่โจทก์จำเลยทำไว้เลิกกันแล้ว หรือหากจะฟังว่ายังไม่เลิกจำเลยที่ 2 ก็มีสิทธิขุดแร่ในที่ดินประทานบัตรเลขที่ 6082 ได้ เพราะที่ดินประทานบัตรนี้ บริษัทเรือขุดแร่จุติจำกัด โอนให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 14/2507 ของศาลจังหวัดตะกั่วป่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่ตัวแทนจำเลยที่ 1 และไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกัน ทั้งจำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นคู่สัญญา และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ทำผิดสัญญา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า สัญญาลงวันที่ 12 เมษายน 2507 หมายล.2 ที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำไว้ยังไม่เลิก ส่วนสัญญาลงวันที่ 16เมษายน 2507 หมาย ล.1 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำขึ้นเพื่อขู่บริษัทเรือขุดแร่จุติ จำกัด ซึ่งโจทก์ฟ้องให้รับชำระหนี้เงินกู้ที่โจทก์เป็นหนี้อยู่ และโอนที่ดินประทานบัตรซึ่งเป็นประกันคืน บริษัทเรือขุดแร่จุติ จำกัด กลัวว่าอาจต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละเก้าแสนบาทตามข้อตกลงในสัญญาหมาย ล.1 จึงยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาผูกพันกันจริงจังตามสัญญาหมาย ล.1 แต่คงยังผูกพันตามสัญญาหมาย ล.2 ซึ่งมีข้อตกลงว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 จะต้องจัดตั้งบริษัทขึ้น มีวัตถุประสงค์ในการทำเหมืองแร่ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์ที่โอนให้จำเลย โดยโจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ถือหุ้นตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ แต่เมื่อบริษัทยังมิได้ตั้งขึ้น จำเลยจะถือสิทธิเข้าไปทำเหมืองแร่ในที่ดินประทานบัตรนั้นโดยลำพังหาได้ไม่ เมื่อจำเลยเข้าทำ ย่อมเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตและผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาได้ จำเลยที่ 2 แม้มิใช่คู่สัญญาตามสัญญาหมาย ล.2 แต่พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 เข้าไปปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของโจทก์ อันเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาหมาย ล.2แล้วรับโอนประทานบัตรของโจทก์มาในนามจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการและผู้แทนของจำเลยที่ 2 เป็นผู้เข้าดำเนินการในนามของจำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 2 จะเป็นนิติบุคคล ก็ถือได้ว่าการชำระหนี้และการรับโอนประทานบัตรของโจทก์ที่จำเลยที่ 2 กระทำไปดังกล่าวเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การตกลงยอมให้จำเลยที่ 2 กระทำแทนนั้น เพราะจำเลยที่ 1บอกโจทก์ว่าไม่มีเงินพอ ต้องให้จำเลยที่ 2 กระทำแทน เมื่อตั้งบริษัทตามสัญญาหมาย ล.2 แล้ว จะจัดการโอนประทานบัตรคืนให้บริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นต่อไป หาใช่โอนให้เป็นสิทธิแก่จำเลยที่ 2 โดยไม่มีข้อตกลงว่าโอนเป็นประกันหรือข้อแม้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า สัญญาหมาย ล.2 ยังไม่เลิก และจำเลยที่ 2 เข้าเกี่ยวข้องชำระหนี้แทนโจทก์ และรับโอนประทานบัตรของโจทก์มาเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 แล้ว การที่จำเลยทั้งสองดำเนินการขุดเอาแร่ไป จะเถียงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำผิดสัญญาหาได้ไม่ ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีสิทธิอย่างใดที่จะขุดเอาแร่ในประทานบัตรของโจทก์ไป จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกับรับผิดต่อโจทก์ในการที่ขุดเอาแร่ไปเป็นประโยชน์ตนฝ่ายเดียวเสีย โดยจำเลยที่ 1ต้องรับผิดในฐานผิดสัญญาและข้อตกลงดังกล่าว จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดฐานละเมิด 4. ฎีกาจำเลยข้อนี้และฎีกาข้อ 1. ของโจทก์ เป็นปัญหาเดียวกันเรื่องค่าเสียหายที่โจทก์ควรได้รับ ศาลฎีกาเห็นฟ้องกับศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์ควรได้รับค่าเสียหายเป็นเงิน 1,200,000 บาท 2. โจทก์ฎีกาว่าจำเลยทำละเมิดให้เครื่องจักรเครื่องมือต่าง ๆของโจทก์จมน้ำเสียหาย ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้ทำ จึงไม่ต้องรับผิด 3. โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าทนายโจทก์เป็นพับแก่โจทก์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 ให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจพิพากษาให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงหรือจะให้เป็นพับไปก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องให้ฝ่ายแพ้คดีเป็นฝ่ายเสียค่าฤชาธรรมเนียมเสมอไปฉะนั้นที่ศาลใช้ดุลพินิจพิพากษาให้ค่าทนายโจทก์เป็นพับแก่โจทก์จะถือว่าเป็นการพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ได้ พิพากษายืน.

Share