คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การทำถนนคอนกรีตบนทางภารจำยอมไม่เป็นการเพิ่มภารจำยอม (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 33/2503)
จดทะเบียนภารจำยอมว่าเป็นทางเดินของผู้ที่อยู่ในโฉนดซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของ แต่แล้วใช้ทางนี้เป็นทางรถด้วยก็ดี หรือมีคนอื่นซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดของจำเลยได้ใช้เป็นทางเดินด้วยก็ดี ก็ยังไม่เป็นการเพิ่มภารจำยอม
เมื่อการจดทะเบียนภารจำยอมยังคงอยู่แม้ผู้ใช้ทางนั้นจะอ้างว่าเป็นทางสาธารณ ก็ไม่ถือว่าสละสิทธิภารจำยอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 และผู้อื่นไปร้องต่อเทศบาลจำเลยที่ 1 ให้สร้างถนนคอนกรีตบนทางภารจำยอมอันเป็นที่โจทก์ทำเป็นทางรถ ให้คนอื่นซึ่งไม่มีสิทธิมาใช้ร่วม อ้างเป็นทางสาธารณะเป็นการเพิ่มภารจำยอม ทำให้เสียหายแก่ที่ดินและเป็นการสละสิทธิภารจำยอมส่วนจำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้เดิน กลับแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ ๆ จึงไม่อนุญาตให้เดินต่อไป ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่รายนี้ไม่ใช่ทางสาธารณะ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ให้ถอนทะเบียนภารจำยอม ให้ใช้ค่าเสียหาย ให้รื้อถนนคอนกรีตออก ถ้าไม่รื้อ ให้ใช้เงินสำหรับที่โจทก์จะรื้อเอง

เทศบาลจำเลยที่ 1 ให้การว่า การทำถนนคอนกรีตดังกล่าว ไม่เป็นการเสียหายแก่โจทก์ และไม่เป็นการเพิ่มภารจำยอม ทั้งเดิมทางนี้นอกจากเป็นทางเดิน ก็ยังเป็นทางรถเข้าออกอยู่แล้ว

จำเลยที่ 2, 4, 5, 6 ให้การว่า ตนเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ มีสิทธิทำทางเป็นถนนคอนกรีตได้ โจทก์ไม่มีสิทธิรื้อ การจดทะเบียนภารจำยอม ไม่ได้จดเป็นทางเท้าหรือมีข้อห้ามไม่ให้ใช้เป็นทางรถทิ้งไว้เป็นทางกว้าง 2 วา ย่อมเป็นทางรถ แม้จะได้เคยอ้างว่าเป็นทางสาธารณะ ก็ไม่เป็นเหตุให้ถือว่าภารจำยอมหมดประโยชน์ จำเลยที่ 3 ให้การว่า มิได้ใช้ทางนี้โดยได้รับอนุญาตจากโจทก์ แต่ที่ดินของจำเลยที่ 3 ตกอยู่ในที่ล้อม ไม่มีทางอื่นออก ย่อมมีสิทธิออกได้และจำเลยที่ 3 ได้ใช้เป็นทางปรปักษ์มาเกิน 10 ปี จำเลยทุกคนว่าการกระทำของจำเลยทุกคนไม่เป็นละเมิด โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย

วันชี้สองสถาน จำเลยแถลงว่า ได้ทำถนนคอนกรีตลงบนที่ของโจทก์แต่การกระทำเช่นนี้จะเป็นการเสียหายหรือไม่ ขอให้ศาลวินิจฉัย โจทก์แถลงว่าพอใจที่จำเลยแถลงรับ ค่าเสียหายขอให้ศาลพิจารณาตามสมควรและว่า โจทก์ไม่มีที่ดินอยู่ในซอยนั้น นอกจากที่ซึ่งเป็นทางพิพาทรายนี้โจทก์จะขอสืบพยานว่า เมื่อจดทะเบียนภารจำยอมแล้ว จำเลยที่ 2, 4, 5, 6 ได้ปลูกบ้านให้เช่าและให้ผู้เช่าใช้เดินทางนี้ กับขอสืบสภาพของที่ดินภารยทรัพย์และสามยทรัพย์เป็นอย่างไร เมื่อก่อนและหลังจดทะเบียนภารจำยอมแล้ว นอกนั้นไม่สืบ จำเลยแถลงว่า ขอสืบแก้ข้อที่โจทก์จะสืบเท่านั้น

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน วินิจฉัยว่า ที่ทั้งหมดตกอยู่ในภารจำยอมอันยังไม่สิ้นไป โจทก์จะเอาไปทำประโยชน์อะไรก็ไม่ได้ การที่จำเลยทำเป็นถนนคอนกรีตและการที่มีคนใช้ทางเพิ่มขึ้น จำเลยบางคนเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ย่อมมีสิทธิจัดการในสิทธิอันเป็นภารจำยอมของเขาได้ตามสมควร ไม่เป็นละเมิด การกระทำของเทศบาลจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นละเมิดด้วย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ยังมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 อยู่ข้อหนึ่งว่า จำเลยที่ 3 มีสิทธิใช้ทางพิพาทนี้อย่างไร พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาประเด็นดังกล่าวระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 แล้วพิพากษาใหม่

โจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ตามฟ้องว่า จำเลยสร้างถนนคอนกรีตบนทางภารจำยอม ทำเป็นทางรถให้คนอื่นซึ่งไม่มีสิทธิมาใช้ร่วมกัน อ้างเป็นทางสาธารณะเป็นการเพิ่มภารจำยอม ทำให้เสียหายแก่ที่ดินและเป็นการสละสิทธิภารจำยอม โดยเฉพาะปัญหาว่า การกระทำดังกล่าวของจำเลยเป็นการเพิ่มภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ที่พิพาททั้งแปลงกว้าง 2 วา ยาวตลอดเนื้อที่ได้จดทะเบียนภารจำยอมเป็นทางเดินของผู้ที่อยู่ในที่ดินโฉนดที่ 4126 และ4127 ซึ่งจำเลยที่ 2, 4, 5, 6 เป็นเจ้าของ การทำทางนี้เป็นถนนคอนกรีตตลอดเนื้อที่ ทำให้ทางเดินสะดวกขึ้นตามความเจริญของบ้านเมือง โจทก์ไม่มีที่ดินติดต่อกับทางเส้นนี้แล้ว ไม่มีทางกระทบกระเทือนต่อประโยชน์ของโจทก์ จึงไม่เป็นการเพิ่มภารจำยอม ข้อที่ใช้ทางเป็นทางรถก็ดี การที่คนอื่นซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดดังกล่าวของจำเลยใช้เป็นทางเดินด้วยก็ดี ก็ไม่เป็นการเพิ่มภารจำยอมเช่นเดียวกัน เพราะตามที่จดทะเบียน ไม่ได้จำกัดว่ารถเดินไม่ได้ คนอื่นเดินไม่ได้แต่อย่างใดเลย

ส่วนที่โจทก์กล่าวว่า จำเลยอ้างว่าเป็นทางสาธารณะ เป็นการสละสิทธิภารจำยอม นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่เป็นการสละสิทธิภารจำยอมเพราะการจดทะเบียนภารจำยอมยังคงอยู่ มิได้เลิกไป ที่โจทก์ว่าจำเลยทำถนนคอนกรีตโดยมิได้บอกกล่าวโจทก์ก่อน ถ้าเป็นความจริง ก็เป็นแต่การกระทำของจำเลยโดยไม่สมควรในทางมารยาทอยู่บ้างเท่านั้น ไม่มีกฎหมายบังคับว่า ในกรณีเช่นนี้ จะต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้า

สำหรับจำเลยที่ 3 คดีฟังได้ตามเอกสารท้ายฟ้องประกอบโฉนดว่าที่ดินของจำเลยที่ 3 ตกอยู่ในที่ล้อม ไม่มีทางออกนอกจากทางพิพาทและจำเลยที่ 3 ได้ใช้เดินมาเกิน 10 ปี สมข้อต่อสู้ของจำเลย โจทก์มิได้ขอนำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าว และมิได้ขอนำสืบว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ใช้ทางเดินดังที่บรรยายในฟ้อง ตามรูปคดีจะห้ามจำเลยที่ 3 ไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทและให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ยังมิได้

ศาลฎีกาพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share