คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะจำเลยใช้รถยนต์ของกลางกระทำความผิดผู้ร้องเป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถยนต์ของกลางแต่เมื่อผู้ร้องได้ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อครบก่อนที่ศาลจะสั่งริบผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางและเมื่อผู้ร้องและผู้ให้เช่าซื้อมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดก็ต้องคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มาตรา 24, 50 และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ 27 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและสั่งริบรถยนต์กระบะของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถยนต์ของกลางที่ศาลสั่งริบ ผู้ร้องเช่าซื้อมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนานันต์ จำกัด และหลังเกิดเหตุก็ยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อ ต่อมาจนครบถ้วน รถยนต์ของกลางจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง และผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้สั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ของกลางที่แท้จริง ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ยกคำร้อง
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
ผู้ร้อง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ขณะจำเลยใช้รถยนต์ของกลางกระทำความผิดผู้ร้องเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ของกลาง มิใช่เจ้าของก็ตามแต่ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะสั่งริบรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องผ่อนชำระค่าเช่าซื้อครบ ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งริบ ดังนี้ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนานันต์ จำกัด มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
พิพากษากลับ ให้ คืน รถยนต์ ของกลาง แก่ ผู้ร้อง

Share