คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2488

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของ
จ้างว่าความเรื่องสลากกินแบ่งโดยตกลงให้ว่าความตั้งแต่ศาลต้นจนคดีถึงที่สุด ให้ค่าจ้าง5,000 บาท ถ้าแพ้จะไม่คิดเอาค่าจ้างดังนี้ เป็นเรื่องจ้างทำของโดยว่าความให้สำเร็จทุกศาล ส่วนการแพ้ชนะเป็นเงื่อนไขที่จะชำระหรือไม่ชำระค่าจ้างเท่านั้น ฉนั้นถ้าความแพ้ศาลล่างแต่ชนะศาลสูง ผู้ว่าจ้างก็ต้องชำระค่าจ้าง
ผู้ว่าจ้างเอางานที่จ้างทำยังไม่ทันเสร็จไปให้ผู้อื่นทำโดยไม่ได้เลิกสัญญาจ้าง ผู้รับจ้างฟ้องเรียกค่าจ้างเมื่องานเสร็จแล้วได้.

ย่อยาว

ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยถูกฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาเกี่ยวกับสลากกินแบ่งฉบับที่ถูกรางวัลที่ ๑ จำเลยตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นทนายโดยสัญญากันว่าจำเลยถูกฟ้องในกรณี สืบเนื่องจากสลากกินแบ่งนั้นกี่สำนวนก็ตาม โจทก์จะรับเป็นทนายแก้ต่างให้ทุกสำนวน จนกว่าจำเลยจะชนะคดีเด็ดขาด และได้รับเงินรางวัลและจำเลยยอมให้ค่าจ้างโจทก์ ๕๐๐๐ บาท ถ้าจำเลยแพ้คดีไม่ได้รับเงินรางวัลจำเลยจะไม่จ่ายค่าจ้างให้เลย โจทก์ว่าความให้จำเลย ๔ สำนวน คือคดีแพ่ง ๒ สำนวน คดีอาญา ๒ สำนวน คดีอาญานั้นโจทก์ว่าความชนะคดีถึงที่สุดในศาลชั้นต้นส่วนคดีแพ่งศาลชั้นต้นตัดสินให้แพ้ จำเลยได้เอาสำนวนไปจากโจทก์ให้ทนายอื่นทำอุทธรณ์ ในที่สุดศาลอุทธรณ์ตัดสินให้จำเลยชนะและศาลฎีกาตัดสินยืน โจทก์จึงมาฟ้องเรียกค่าจ้าง ๕๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้าง ๕๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าในขณะนั้นโจทก์ว่าความไม่ชนะเรียกได้ว่าจำเลยทำงานให้โจทก์ไม่สำเร็จได้ชื่อว่าโจทก์ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างเลย จึงพิพากษายกฟ้อง แต่มีความเห็นแย้งว่าควรยืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีย์เป็นเรื่องจ้างเหมาให้โจทก์ว่าความทุกสำนวนตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกา เป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งโจทก์ตกลงว่าความให้จำเลยจนสำเร็จทุกศาล การแพ้ชนะได้รับเงินตามรางวัลสลากครบถ้วนหรือไม่เป็นเพียงเงื่อนไขที่จะชำระค่าจ้างหรือไม่คิดเอาค่าจ้างว่าความเท่านั้น ศาลฎีกาจึงเห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่สิ้นสุด โจทก์มีหน้าที่ว่าความไปจนถึงที่สุดตามสัญญา ไม่ใช่จ้างให้ทำให้ความชนะดังความเห็นศาลอุทธรณ์ กรณีจึงอยู่ระหว่างเวลาที่การจ้างยังทำไม่เสร็จ ซึ่งผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้เมื่อได้เสียค่าสินใหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างตาม ป.ม.แพ่งฯ ม.๖๐๕ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ยังสงวนสิทธิในการเรียกค่าจ้างตามสัญญาอยู่และไม่เคยมีการบอกเลิกสัญญาต่อกัน ศาลฎีกาจึงเห็นว่าสัญญาจ้างว่าความระหว่างโจทก์จำเลย ยังมีผลบังคับได้โดยบริบูรณ์ จึงพิพากษากลับศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้น –
ศาลอุทธรณ์ –

Share