คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

กรณีบุคคลใดจะใช้สิทธิทางศาลโดยเสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 และมาตรา 188 (1) ได้นั้น จะต้องมีกฎหมายสารบัญญัติสนับสนุนหรือรับรองว่าเป็นกรณีจำเป็นต้องร้องขอต่อศาลเพื่อรับรองหรือคุ้มครองสิทธิของตนที่มีอยู่ การที่ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าบ้านที่ผู้ร้องปลูกอยู่บนที่ดินของผู้อื่นเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องนั้น ไม่มีกฎหมายใดสนับสนุนรับรองให้ผู้ร้องกระทำได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้ หากผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่เกี่ยวกับบ้านหลังดังกล่าวประการใด ผู้ร้องก็ชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจโดยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอย่างคดีมีข้อพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 สำหรับ ป.ที่ดิน มาตรา 78 และกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ.2497) ซึ่งออกตามความใน พ.ร.บ.ให้ใช้ ป.ที่ดินฯ นั้น เป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติถึงวิธีการจดทะเบียนสิทธิในที่ดินที่ได้กรรมสิทธิ์มาด้วยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 มิใช่กฎหมายใกล้เคียงที่อาจนำมาใช้แก่กรณีของผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า นางพเยาว์เจ้าของที่ดินอนุญาตให้ผู้ร้องปลูกสร้างอาคารบนที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่ออยู่อาศัย ผู้ร้องได้ปลูกสร้างอาคาร และทางราชการออกหมายเลขทะเบียนบ้านให้ นางพเยาว์แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็น 8 แปลง ซึ่งเมื่อแบ่งแยกแล้วบ้านของผู้ร้องตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 112889 ตำบลบางค้อ (บางนางนอง) อำเภอจอมทอง (บางขุนเทียน) กรุงเทพมหานคร ที่ดินที่มีบ้านผู้ร้องตั้งอยู่นี้นางพเยาว์ยกให้แก่นางสาวเกสราและต่อมานางสาวพิรีรัชต์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางสาวเกสราผู้ตายขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางสาวอภิรัชฎาผู้ร้องไปติดต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดกรุงเทพมหานคร สาขาบางขุนเทียนเพื่อขอจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในบ้านของผู้ร้อง แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ดำเนินการให้โดยแจ้งว่าต้องมีคำพิพากษาของศาลแสดงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังดังกล่าวก่อน เนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิปลูกบ้านในที่ดินโฉนดเลขที่ 112889 โดยชอบด้วยกฎหมาย บ้านจึงไม่ตกเป็นส่วนควบของที่ดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 146 แต่สิทธิของผู้ร้องยังไม่บริบูรณ์จนกว่าผู้ร้องจะได้จดทะเบียนการได้กรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง ขอให้ ศาลมีคำสั่งแสดงว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีตามคำร้องไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ผู้ร้องสามารถร้องขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาว่าบ้านตามคำร้องเป็นของผู้ร้อง จึงไม่อาจใช้สิทธิทางศาลโดยการยื่นคำร้องได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “กรณีบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอฝ่ายเดียวเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และมาตรา 188 (1) นั้น จะต้องมีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอในกรณีนั้นๆ ได้ แต่กรณีตามคำร้องขอของผู้ร้องซึ่งร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าบ้านที่ผู้ร้องปลูกอยู่ในที่ดินของผู้อื่นเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องนั้นไม่มีกฎหมายใดสนับสนุนรับรองให้ผู้ร้องกระทำเช่นนั้นได้ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเป็นคดีนี้หากผู้ร้องถูกโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่เกี่ยวกับบ้านหลังดังกล่าวประการใด ผู้ร้องก็ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้โดยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องอย่างคดีมีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 สำหรับประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 และกฎกระทรวงฉบับที่ 7 (พ.ศ.2497) ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2597 นั้น เป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติถึงวิธีการจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มิใช่กฎหมายใกล้เคียงที่นำมาใช้แก่กรณีของผู้ร้องตามที่กล่าวอ้าง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share