คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จะมาขอให้ศาลสั่งแสดงว่า ที่ดินแปลงใดเป็นกรรมสิทธิของโจทก์เด็ดขาดทั้งสิ้นโดยปราศจากทางเดินสาธารณนั้น โจทก์ย่อมทำได้ แม้แต่จะเสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทเมื่อโจทก์จะต้องใช้สิทธิทางศาลตาม ป.ม.วิแพ่งมาตรา 55 แต่โจทก์ก็จะต้องนำพะยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลให้เพียงพอแก่การที่จะสั่งตามคำขอของโจทก์นั้นได้
จำเลยเคยไปร้องต่อตำรวจว่า ทางในที่ดินของโจทก์เป็นทางสาธารณะ โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยขอให้แสดงว่าที่ของโจทก์ไม่มีทางสาธารณะได้
ประชุมใหญ่ครั้งที่ 24/2492

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไปแจ้งความที่สถานีตำรวจว่า ทางเดินในที่ดินของโจทก์เป็นทางสาธารณะ เจ้าพนักงานตำรวจได้สั่งห้ามมิให้โจทก์ขัดขวางจำเลยในการใช้ที่ดินของโจทก์ จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินของโจทก์มิใช่ทางสาธารณะ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์เอาเสาไม้แก่นไปปักขวางทางสาธารณะ ซึ่งจำเลยเคยเดินเข้าออกบ้านของจำเลย ๆ ได้ไปร้องต่อตำรวจ ๆ สั่งให้โจทก์รื้อถอนเสา โจทก์ก็ยอมรื้อไป โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยเป็นแต่ผู้เดินผ่านไปมา ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นจำเลย เพราะทางสาธารณะเป็นประโยชน์แก่สาธารณะชน ไม่ฉะเพาะแต่บุคคลหนึ่งบุคคลใด เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้นที่จะมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวแก่ทางดังกล่าว แต่โจทก์หาได้ฟ้องเข้ามาเป็นจำเลยไม่ คดียังไม่พอจะชี้ขาดลงไปว่าทางรายนี้เป็นทางสาธารณะหรือไม่ ส่วนคำขอให้ถอนคำแจ้งความนั้น จะสั่งตามคำขอของโจทก์ข้อนี้ก็ไม่มีผล พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งแย้งว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าทางเดินรายนี้อยู่ในโฉนดของโจทก์ และจำเลยนำสืบไม่ได้ว่าเป็นทางสาธารณะแล้ว ศาลก็ควรรพิพากษาว่า ไม่มีทางเดินสาธารณะในที่ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า การที่โจทก์จะมาขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินแปลงใดเป็นกรรมสิทธิของโจทก์เด็ดขาดทั้งสิ้น โดยปราศจากทางเดินสาธารณะนั้น โจทก์ย่อมทำได้ แม้แต่จะเสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท เมื่อโจทก์จะต้องใช้สิทธิทางศาลตามมาตรา ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา ๕๕ แต่อย่างไรก็ดี โจทก์ก็จะต้องนำพะยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลให้เพียงพอแก่การที่จะสั่งตามคำขอของโจทก์นั้นได้ ฉะนั้นการที่โจทก์จะเรียกบุคคลใดเข้ามาในคดีเป็นจำเลย เพราะบุคคลนั้นเคยเป็นผู้แสดงอาการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ก็ย่อมกระทำได้แต่คดีชะนิดนี้ ศาลมิควรพิพากษาสั่งโดยถือเอาอาการขาดพะยานหลักฐานฝ่ายจำเลยแต่อย่างเดียวเป็นข้อวินิจฉัย และทั้งไม่ควรถือเอาเหตุที่โจทก์เรียกบุคคลที่ไม่ควรเข้ามาเป็นจำเลยในคดี ให้ยกคำขอของโจทก์ คดีนี้โจทก์ยังคงมีหน้าที่จะต้องนำพะยานและหลักฐานมาแสดงต่อศาลจนเป็นที่พอใจของศาลว่าในเขตต์ที่ดินตามโฉนดของโจทก์นั้น ไม่มีทางสาธารณะโดยจริงจัง คดีเรื่องนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษามีสาระสำคัญอยู่ที่ว่าคดียังไม่พอที่จะชี้ลงไปว่า ทางรายนี้เป็นทางสาธารณะหรือมิใช่แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืน โดยเอาข้อที่จำเลยไม่ควรถูกฟ้องมาเป็นเหตุแต่เพียงข้อเดียวก็ดี แต่ก็ยังไม่มีศาลใดชี้ขาดว่าไม่มีทางสาธารณะในเขตต์ที่ดินตามโฉนดของโจทก์ โจทก์จึงยกเป็นข้อฎีกาว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าไม่มีทางสาธารณะในเขตต์ที่ดินนั้น จึงเป็นข้ออ้างที่ฝ่าฝืนต่อท้องสำนวน ศาลฎีกาจึงจำเป็นต้องพิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีต่อไปว่าจะมีหลักฐานพอเพียงที่จะสั่งตามคำขอของโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ดูข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ยังแสดงไม่ได้ว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ แม้โจทก์จะเป็นผู้ถือโฉนดแผนที่รวมที่ดินตอนนั้นไว้กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าเจ้าของเดิม เดิมได้แสดงเจตนาอุทิศทางเดินนั้นให้แก่ประชาชน เพื่อสาธารณะประโยชน์แล้วก็ได้
พิพากษายืน

Share