คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติ ญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524บัญญัติว่า คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล และคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัด ประกอบด้วยบุคคลใดบ้าง โดยไม่มีกฎหมายรับรองให้คณะกรรมการดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาแต่อย่างใด คณะกรรมการดังกล่าวจึงไม่อยู่ในฐานะที่ถูกฟ้องร้องได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ โจทก์ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่านาให้จำเลยผู้เช่านา และส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวพร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่าไปยังคณะกรรมการควบคุมการเช่าประจำอำเภอแล้วก่อนสิ้นระยะเวลาการเช่านาเกินกว่า 1 ปี โดยคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำอำเภอมิได้ยับยั้งการบอกเลิกการเช่านาตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 มาตรา 39 วรรคท้าย การบอกเลิกการเช่านาของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย และมีผลใช้บังคับ แม้ระหว่างสัญญาการเช่านายังไม่สิ้นสุดลง พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 จะถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 แต่มาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ถือว่าการเช่านาที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 เป็นการเช่านาที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติฉบับใหม่ต่อไป และมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524ได้บัญญัติเงื่อนไขและวิธีการที่ผู้ให้เช่านาจะต้องปฏิบัติเมื่อประสงค์จะให้การเช่านาสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาไว้เช่นเดียวกับมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 ด้วย การบอกเลิกการเช่านาของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายและมีผลใช้บังคับต่อไป เมื่อสัญญาเช่านาระหว่างโจทก์จำเลยสิ้นสุดลงแล้ว จำเลยจะเข้าทำนาของโจทก์ได้อีกต่อเมื่อโจทก์มิได้ลงมือทำประโยชน์ภายใน 1 ปีและจำเลยแสดงความจำนงจะเช่านา ซึ่งโจทก์จะต้องให้จำเลยเช่านาเว้นแต่โจทก์จะร้องต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลก่อนสิ้นกำหนด 1 ปี เพื่อขอขยายเวลาการเข้าทำประโยชน์ในที่นานั้นตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 เท่านั้น แต่จำเลยร้องขอต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลขอเช่าทำนาของโจทก์หลังจากสัญญาการเช่านาสิ้นสุดลงไม่ถึง 1 ปีและไม่ปรากฏว่าโจทก์ลงมือทำประโยชน์แล้วหรือไม่คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลจึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของจำเลยเนื่องจากพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หามีบทบัญญัติใดให้อำนาจคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลที่จะวินิจฉัยคำร้องของผู้เช่านาในกรณีเช่นนี้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบ่อทอง จำเลยที่ 2 เป็นคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดปราจีนบุรี จำเลยที่ 3 เป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์เพื่อทำนา เมื่อฤดูการทำนาปีพ.ศ. 2520 โจทก์ให้จำเลยที่ 3 เช่าที่ดินของโจทก์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียนเลขที่ 1582 ตำบลบ่อทอง เพื่อทำนา มีกำหนดเวลา 6 ปี โดยสิ้นสุดอายุการเช่าในปี พ.ศ. 2525 ต่อมาวันที่ 13มกราคม 2524 โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยที่ 3 เช่าที่ดินอีกต่อไปจึงมีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยที่ 3 และแจ้งบอกเลิกการเช่าให้จำเลยที่ 1 ทราบแล้ว นอกจากนี้โจทก์กับจำเลยที่ 3 ยังได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกัน ณ ที่ว่าการอำเภอกบินทร์บุรีว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 3 เช่าที่ดินของโจทก์ต่อไปในปีพ.ศ. 2524 และ พ.ศ. 2525 จนครบกำหนดเมื่อสิ้นสุดกำหนดดังกล่าวจำเลยที่ 3 จะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป และจะส่งมอบที่ดินคืนให้โจทก์ทันที ต่อมาเมื่อถึงฤดูการทำนาปี พ.ศ. 2526จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1 ขอทำนาโจทก์ต่อไปอีกโจทก์คัดค้านว่า โจทก์จะเข้าทำนาเอง โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าและจำเลยที่ 3 ตกลงจะไม่เกี่ยวข้องอีก แต่จำเลยที่ 1 ไม่รับฟังและลงมติเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2526 ให้จำเลยที่ 3 เช่าที่ดินของโจทก์ได้ต่อไป ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์ไปยังจำเลยที่ 2 ขอให้ยกเลิกมติหรือกลับคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 และให้โจทก์เข้าทำนาจำเลยที่ 2 ได้มีมติยกอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อวันที่13 ธันวาคม 2526 อ้างว่า อุทธรณ์ของโจทก์ได้พ้นระยะเวลาอุทธรณ์ซึ่งมติหรือคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ถูกต้อง ขอให้พิพากษายกเลิกหรือเพิกถอนมติหรือคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ให้จำเลยที่ 3 เข้าทำนาในที่ดินของโจทก์ โดยให้โจทก์เป็นผู้เข้าทำประโยชน์ ห้ามจำเลยที่ 3 เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไปจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำตำบลบ่อทอง กับคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำจังหวัดปราจีนบุรีไม่ได้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ฟ้องโจทก์มิได้ระบุบุคคลในคณะกรรมการหมดทุกคนคงระบุชื่อผู้มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการเพียงผู้เดียว ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องคณะกรรมการ โจทก์ให้จำเลยที่ 3 เช่าที่ดินเพื่อทำนาเมื่อปี พ.ศ. 2520 โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาการเช่าซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าการเช่ามีกำหนดเวลา 6 ปี และสิ้นสุดสัญญาเช่าปีพ.ศ. 2525 แต่ปี พ.ศ. 2523 จำเลยที่ 3 ไม่อาจเข้าทำนาได้ตลอดฤดูการทำนา เนื่องจากโจทก์ให้นายขันตรี นงค์พรมมา เข้าไปทำนาจำเลยที่ 3 จึงมีสิทธิเช่าทำนาต่อในปี พ.ศ. 2526 โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่ามาล่วงหน้าเป็นเวลาเกินกว่า 6 เดือน ถือไม่ได้ว่ามีการบอกเลิกการเช่านา ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการลดระยะเวลาการเช่านาที่จะสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2526 มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาจึงเป็นโมฆะจำเลยที่ 1 จึงวินิจฉัยให้ยับยั้งการบอกเลิกการเช่าของโจทก์เพื่อให้จำเลยที่ 3 เช่านามีกำหนดเวลา 2 ปี เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ต่อจำเลยที่ 2 ก็ยื่นเกินกำหนด 30 วันนับแต่วันทราบคำวินิจฉัย และเกินกำหนด 60 วันนับแต่วันมีคำวินิจฉัยจำเลยที่ 2 จึงยกอุทธรณ์ของโจทก์เสีย คำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นไปโดยถูกต้อง และชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 3 ให้การว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้เช่าที่นาของโจทก์ตามมติของคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบ่อทอง ที่ให้จำเลยที่ 3 เช่าที่ดินต่อไปได้อีก 2 ปี จำเลยที่ 3 ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและโจทก์ไม่เสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนมติหรือคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เสีย ห้ามจำเลยที่ 3 เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ต่อไป จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 แต่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเพียงบัญญัติว่า คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล (คชก.ตำบล) ก็ดี คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัด (คชก.จังหวัด) ก็ดีประกอบด้วยบุคคลใดบ้าง ไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองให้คณะกรรมการดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลหรือเป็นบุคคลธรรมดาแต่อย่างใด จำเลยที่ 1ที่ 2 จึงไม่เป็นนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาอันจะอยู่ในฐานะที่ถูกฟ้องร้องได้ทั้งฟ้องโจทก์ก็แปลความไม่ได้ว่า โจทก์ฟ้องตัวบุคคลที่ประกอบเป็นคณะกรรมการ เพราะโจทก์มิได้ระบุชื่อเป็นรายบุคคลโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้ แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องนี้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา แต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ส่วนจำเลยที่ 3 นั้นข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ตามเอกสารที่คู่ความแถลงรับกันว่า เมื่อปี พ.ศ. 2520 จำเลยที่ 3ได้เช่านาของโจทก์ที่ตำบลบ่อทอง อำเภอกบินทร์บุรีจังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ 32 ไร่ 63 ตารางวา มีกำหนด 6 ปี จะสิ้นระยะเวลาเช่านาในปี พ.ศ. 2525 ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่าจำเลยที่ 3 ชำระค่าเช่านาให้โจทก์ไม่ครบ โจทก์จึงให้บุคคลอื่นเข้าทำนาแทนจำเลยที่ 3 ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 3 เกิดพิพาทกันแต่ตกลงกันได้ด้วยการประนีประนอมยอมความตามสัญญาลงวันที่ 13มกราคม 2524 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 โดยให้จำเลยที่ 3เข้าทำนาของโจทก์ได้ในปี พ.ศ. 2524 กับปี พ.ศ. 2525 เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 3 จะไม่เข้าเกี่ยวข้องกับที่นาของโจทก์อีกต่อไปวันเดียวกันโจทก์ได้แจ้งบอกเลิกการเช่านาไปยังจำเลยที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.2 และส่งสำเนาหนังสือบอกเลิกการเช่าพร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่านาไปยังคณะกรรมการควบคุมการเช่าตำบลบ่อทอง อำเภอกบินทร์บุรี ตามเอกสารหมาย จ.3 คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบ่อทองได้มีคำวินิจฉัยให้จำเลยที่ 3 เข้าทำนาของโจทก์ได้อีกต่อไป มีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยที่ 3 มีสิทธิเช่าที่ดินของโจทก์ต่อไปได้หรือไม่ เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.4 ได้ทำไว้เมื่อวันที่ 13มกราคม 2524 ก่อนสิ้นกำหนดระยะเวลาการเช่านาตามสัญญาเช่าทำนาระหว่างจำเลยที่ 3 กับโจทก์ การที่จำเลยที่ 3 ตกลงว่าจะออกไปจากที่นาของโจทก์เมื่อครบกำหนดและจะมอบที่นาคืนแก่โจทก์ จนโจทก์ได้แจ้งบอกกล่าวเลิกสัญญาการเช่านาไปยังจำเลยที่ 3 เป็นเรื่องที่ผู้ให้เช่านาคือโจทก์กับผู้เช่านาคือจำเลยที่ 3 ได้ตกลงที่จะเลิกสัญญาเช่านาพิพาทกันเมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาซึ่งโจทก์จะต้องบอกเลิกการเช่านาเป็นหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี และต้องส่งสำเนาหนังสือบอกเลิกการเช่านาพร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่านาไปยังคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำอำเภอภายในสามสิบวันนับแต่วันส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าให้จำเลยที่ 3 ทราบตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่านาให้แก่จำเลยที่ 3 และส่งสำเนาหนังสือดังกล่าวพร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่าไปยังคณะกรรมการควบคุมการเช่าประจำอำเภอแล้วก่อนสิ้นระยะเวลาการเช่านาเกินกว่า 1 ปี และคณะกรรมการควบคุมการเช่านาประจำอำเภอมิได้ยับยั้งการบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 39 วรรคท้ายการบอกเลิกการเช่านาของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายและมีผลใช้บังคับได้แม้ในระหว่างที่สัญญาการเช่านายังไม่สิ้นสุดลง พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 จะถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ซึ่งใช้บังคับเมื่อวันที่ 15สิงหาคม 2524 แต่มาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ถือว่าการเช่านาที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาพ.ศ. 2517 เป็นการเช่านาที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติฉบับใหม่ต่อไป และมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 ได้บัญญัติเงื่อนไขและวิธีการที่ผู้ให้เช่านาจะต้องปฏิบัติเมื่อประสงค์จะให้การเช่านาสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาไว้เช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ด้วยเมื่อไม่ปรากฏว่า คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบ่อทองมีมติให้ยับยั้งการบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ก่อนสิ้นระยะเวลาการเช่านาการบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและมีผลใช้บังคับได้ต่อไปเป็นผลให้สัญญาการเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 สิ้นสุดลงเมื่อสิ้นระยะเวลาการทำนาปี พ.ศ. 2525 เมื่อการเช่านาสิ้นสุดลงแล้ว จำเลยที่ 3 จะเข้าทำนาของโจทก์ได้อีกก็ต่อเมื่อกรณีต้องด้วยมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 กล่าวคือ จะต้องปรากฏว่าโจทก์ยังมิได้ลงมือทำประโยชน์ในที่นาภายในหนึ่งปี และจำเลยที่ 3 แสดงความจำนงจะเช่านา ซึ่งโจทก์จะต้องให้จำเลยที่ 3 เช่านา เว้นแต่โจทก์จะได้ร้องขอต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลก่อนสิ้นกำหนดหนึ่งปีเพื่อขอขยายเวลาการเข้าทำประโยชน์ในที่นานั้น แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยที่ 3 ร้องขอต่อคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบ่อทอง ขอเช่าทำนาของโจทก์ต่อไปเมื่อเริ่มฤดูทำนาปี พ.ศ. 2526 อันเป็นเวลาหลังจากสัญญาการเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 สิ้นสุดลงแล้วไม่ถึงหนึ่งปี และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ลงมือทำประโยชน์แล้วหรือไม่ซึ่งตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หามีบทบัญญัติใดให้อำนาจคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลที่จะวินิจฉัยคำร้องของผู้เช่านาในกรณีเช่นนี้ไม่ คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบ่อทองจึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของจำเลยที่ 3และไม่มีอำนาจที่จะยับยั้งการบอกเลิกการเช่านาของโจทก์ ซึ่งการเช่าได้สิ้นสุดลงไปแล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจอ้างคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมประจำตำบลบ่อทองเพื่อเข้าทำนาในที่นาพิพาทต่อไปได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามจำเลยที่ 3 เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ต่อไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share