แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องคดีโดยแนบสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทกับใบคืนเช็คมาท้ายฟ้อง จำเลยให้การและนำสืบยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทตามฟ้อง และไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าธนาคารมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยอยู่แล้วว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ดังนี้แม้โจทก์ไม่ได้เสียค่าจ้างเอกสารเช็คและใบคืนเช็คพิพาท ศาลก็พิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 33,295 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้อันเกิดจากการเล่นการพนัน โจทก์จึงฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คไม่ได้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน 33,295 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 18 มกราคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายตามที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาจำเลยประการแรกว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็ค โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่จำเลยติดค้างโจทก์อยู่ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ในฐานะผู้ทรงได้นำเช็คพิพาทเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน และธนาคารตามเช็คปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงิน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ใช้เงินแก่โจทก์ได้โจทก์ไม่จำต้องบรรยายว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้ค่าอะไร ติดค้างกันมาตั้งแต่เมื่อใด ดังที่จำเลยฎีกา ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาต่อไปมีว่า ศาลล่างทั้งสองรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนมาวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์นำสืบว่า เดิมโจทก์รับเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายมาจากนายคิ้มหรือสวัสดิ์ซึ่งนำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ โจทก์ได้นำเช็คฉบับนั้นไปแลกเงินสดจากนางวิจิตรา เมื่อนางวิจิตรานำเช็คไปขึ้นเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ติดตามตัวนายคิ้มหรือสวัสดิ์แต่ไม่พบจึงติดตามตัวจำเลย จำเลยสั่งจ่ายเช็คให้ 2 ฉบับ แล้วรับเช็คฉบับเดิมคืนไป เช็คฉบับแรกนำไปขึ้นเงินได้ ส่วนฉบับที่สองคือเช็คพิพาท เรียกเก็บเงินไม่ได้การนำสืบของโจทก์ดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้เช็คพิพาทมาอย่างไร และเหตุใดโจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบซึ่งเป็นการนำสืบถึงความเป็นมาที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามเช็คฉบับเดิมแล้วได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้นั้นให้แก่โจทก์ หาใช่นำสืบพยานนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวนำมาเป็นเหตุแห่งการวินิจฉัย จึงหาใช่เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน มาวินิจฉัยดังที่จำเลยฎีกาไม่
ปัญหาสุดท้ายมีว่า โจทก์อ้างเอกสารคือเช็คพิพาทและใบคืนเช็คเป็นพยาน โดยไม่ได้เสียค่าอ้างเอกสาร จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้น เห็นว่า ในการฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้แนบสำเนาภาพถ่ายเช็คพิพาทกับใบคืนเช็คมาท้ายฟ้อง ทั้งตามคำให้การของจำเลยและทางนำสืบ จำเลยก็ยอมรับว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทตามฟ้อง และไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าธนาคารมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทฉะนั้น กรณีจึงไม่จำต้องหยิบยกเอกสารที่โจทก์ไม่ได้เสียค่าอ้างขึ้นวินิจฉัย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยอยู่แล้วว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน